วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประวัติชีวิตของ อานนท์ เพ็ญพันธ์

بِــسْـــــــمِ اللهِ الرَّحْـــــمَنِ الرَّحِـــــيـــــــــــمِ
ประวัติชีวิตของ อานนท์ เพ็ญพันธ์
اَلْسِـــــــيْــرَةِ آنُــوْنَ بِـنـْــبَـانَ
Anon Penpun Biography

คิดเอาไว้ในใจว่า ฉันนี้จะอายุครบ 60 ปลดเกษียณในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2558 นี้แล้ว ก็อยากจะเขียนประวัติตัวเองให้ลูกๆ หลานๆ เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ก็เริ่มลงมือเลยทันทีเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2558 เวลา 13.30 น.
ชีวิตของ อานนท์ เพ็ญพันธ์ اَلْسِــيْــرَةِ آنُوْنَ بِنبَانَ  Anon Penpun Biography. เกิด วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2498 ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 ปีมะแม เวลา 06:50 นาฬิกา ณ บ้านไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 4 ตำบลไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มารดาชื่อประพีร์ ศิลารัตน์ อายุ 26 ปี (ตามจริง 21 ปี 2477) บิดาชื่อหนู เพ็ญพันธุ์ อายุ 26 ปี
(2472) เป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวน 5 คน มีน้องชายคนละแม่อีก 1 คน
1. สุพจน์ 2494 มรณะ
2. นิพนธ์ 2496
3. อานนท์  2498
4. นพดล 2500
5. กิติราช 2501 มรณะ
6. นันทวัตร

ใบสูติบัตร ออกให้โดยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ตำบลไก่จ้น แต่กำนันเป็นคนเซ็น

ฉันเอง ตอนอายุ 7 ขวบ ปี พ.ศ. 2505 ที่ อยุธย

   

แม่บวชชีอยู่วัดบึงลัฏฏิวัน ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ อยุธยา

มารดา ประพีร์ ศิลารัตน์ เดิมเป็นคนพื้นที่ตำบลไก่จ้น อำเภอท่าเรือ มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน (เป็นหญิง 5 คน เป็นชาย 2 คน) มีชื่อดังนี้
1. ประพีร์ 2477 บวชชีอยู่วัดบึงลัฏฏิวัน 14°33'46.3"N 100°46'15.8"E 14.562867, 100.771065
 2. น้อย 1479
3. ขาว 2481
4. ตระกูล(ท็อก) 2490 มรณะ
5. สมสกุล(แหย) 2492  มรณะ
6. จันทร์เพ็ญ 2494
7. แสงอรุณ 2500
คุณตา ชื่อ โต ศิลารัตน์ คุณยายชื่อสง่า เป็นคนเชื้อสายจีนกวางตุ้ง คุณยายเกิดที่เมืองไทย พ่อ แม่คุณยายอพยบมาอยู่เมืองไทยนานมากแล้ว หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงเมื่อ พ.ศ. 2488 คุณตาได้ทำงานที่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัด  สาขาท่าหลวง ในตำแหน่งวิศวกรหัวหน้าช่างฟิต คุณตาจะกินเบียร์สิงห์ทุกเย็น สำนักงานใหญ่   อยู่ที่ ตำบลบางซื่อ อำเภอบางซื่อ จังหวัดพระนคร
คุณย่าทวด คุณปู่ทวด (พ่อ-แม่ของตาโต) เคยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกับฉัน เมื่อฉันยังเด็ก


บัตรประจำตัวพนักงานบริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัด เลขที่ 3032

   

บิดา หนู เพ็ญพันธุ์ เกิดที่กรุงเทพฯ ย่านวัดเชิงหวาย (วัดเวตะวันธรรมมาวาส ถนนวัดเชิงหวาย บางซื่อ 13.816340, 100.529099)
เคยทำงานในโรงปูนตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 อายุประมาณ 15-16 ปี พออายุครบ 20 ก็บวชเรียนเป็นพระอยู่วัดถลุงเหล็กหนึ่งพรรษา พอสึกออกมาทุกคนจะเรียกว่า “ทิดหนู” จำไม่ได้ว่าสมัยนั้นมีการเกณฑ์ทหารหรือยัง แต่เท่าที่จำได้พ่อไม่ได้เป็นทหาร
หลังจากลาสิขาก็เข้าบรรจุทำงานที่โรงปูนท่าหลวงเลยหลังจากสึกออกมา ได้เลขประจำตัว โรงปูน 3032 ในแผนกช่างฟิต คือแผนกซ่อมบำรุง และติดตั้งเครื่องจักรกลใหม่ๆ ปี 2508 ย้ายจากห้องแถวเจ๊ก มาอยู่ตึก 36 ห้อง เป็นตึกแถว 2 ชั้น หน่วยละ 6 ห้อง พ่อเป็นคนเจ้าชู้ มีเมียน้อยหลายคน จนมาถึงแม่ (นันทวัตร) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับแม่ อยู่อำเภอบางปะหัน เป็นแม่หม้ายมีลูกติด 2 คน ทุกวันเสาร์อาทิตย์พ่อต้องขับมอร์เตอร์ไซค์ไปบางปะหัน และกลับมาบ้านพักโรงงานเย็นวันอาทิตย์
ทำอยู่โรงปูนท่าหลวงจนมาถึงปี 2513 ทางโรงปูนมีการขยายโรงงานออกไป ตั้งใหม่ที่อำเภอแก่งคอย สระบุรี ก็มีการเกณฑ์ช่างทุกแขนงไปทำที่แก่งคอย และนอนพักกันที่บ้านพักแก่งคอยเลย จนถึงปี 2515 โรงงานใหม่ก็เสร็จ เปิดเครื่องจักรการเผาการผลิตได้
ปี 2515 ครอบครัวฉันก็ย้ายไปประจำที่โรงงานแก่งคอย มีบ้านพักให้เหมือนอยู่ที่ท่าหลวง น้ำ-ไฟ ใช้ฟรี สมัยนั้นพ่อทำเตาขดลวดไฟฟ้ามาใช้เองที่บ้านพัก พ่อทำอยู่โรงปูนอายุได้ 55 ปี พ.ศ.2527 ก็เกษียณอายุตัวเองออกมาตั้งอู่โรงกลึง ทำได้ 2 – 3 ปีก็มีเมียใหม่อีกคน สมัยนั้นแม่นันทวัฒน์เสียชีวิตไปแล้ว และได้พาน้องมาอยู่ร่วมที่บ้านเดียวกันที่บ้านพักโรงปูนบ้านป่า  พ่อได้จดทะเบียนหย่ากับแม่แล้ว และให้เงินแม่มาก้อนนึง แม่แยกไปซื้อบ้านแถวตัวเมืองสระบุรี พ่อทำโรงกลึงที่ตลาดแก่งคอย จนสิ้นชีวิตที่โรงกลึงนี้ เมื่อปี พ.ศ.2549 เดือนกันยายน วันที่ 16 เผาวันที่ 19 เดือนกันยายนนั้น (ตรงกับวันปฏิวัติของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน)

บิดามีพี่น้อง 8 คน
1. หนู(มานพ) 2472  มรณะ
2. ส้มลิ้ม 2474  มรณะ
3. เล็ก 2476
4. สมจิต จี๊ด 2478  สาบสูญไม่ติดต่อใคร
5. สมบุญ (ตึ๋ง) 2480
6. แกละ 2484  มรณะ
7. บุญส่ง 2488  มรณะ
8. สำราญ (ดำ) 2492

คุณปู่ชื่อ ใจ คุณย่าชื่อ ผิว เพ็ญพันธุ์ นามสกุลปู่มาตั้งเอง ไม่ได้เอานามสกุลบรรพบุรุษ เดิมทีคุณปู่คุณย่าเป็นคน ย่านวัดเชิงหวาย ทำงาน บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (บางซื่อ)
พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางบริษัทถูกทิ้งระเบิด หม้อเผาเสียหายไป 2 ลูก ทางบริษัทก็ส่งพนังงานบางส่วนไปทำงานที่ โรงงานท่าหลวง ด้วยความสมัครใจ ปู่มาหาซื้อที่ดินได้แถวตำบลท่าหลวง ราคาไร่ละประมาณ 20 บาท ซื้อไว้ 2 ไร่ พออาส้มลิ้มแต่งงานมีครอบครัว ปู่ก็แบ่งขายที่ดินให้ครึ่งนึง ก็เท่ากับหนึ่งไร่ อาส้มลิ้มแต่งงานกับคนพื้นที่ท่าหลวงนี้ อาเขยมีชื่อว่า ถุงเงิน จันทร์กระจ่าง ที่ดินนี้อยู่แถวๆ ท้ายโรงงาน เราเรียกกันว่า”บ้านรางน้ำ” เพราะรางระบายความร้อนหม้อเผาด้วยน้ำ จะปล่อยไหลมาตามรางคอนกรีตที่สร้างไว้ มาทิ้งที่คลอง ปู่ก็ทำงานไปเรื่อยๆ บิดาฉันตอนนั้นอายุ 15 – 16 ปี ก็ไดทำงานในโรงงานปูนซิเมนต์ด้วย ค่าจ้างวันละไม่กี่สตางค์แดง เหรียญสตางค์มีรูตรงกลาง เป็นเหรียญทองแดง และเหรียญเงิน คุณปู่ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่เลย

ตำบลที่ตั้งโรงงานปูนซิเมนต์ไทย ท่าหลวง

บ่อดินขาวที่อำเภอบ้านหมอ สระบุรี

แผนที่โรงงานปูนซิเมนต์ไทย แก่งคอย เลยตัวเมืองสระบุรี
ปบนถนนมิตรภาพ 17 กิโลเมตร ซ้ายมือ

ภาพรวมโรงงานปูนซิเมนต์ไทย แก่งคอย

โรงงานปูนซิเมนต์ไทย บางซื่อ ปัจจุบันเลิกผลิตแล้ว

สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อ

สงครามสงบ พ.ศ. 2488 (1945) ได้หลายปี  ปู่ก็กลับไปบ้านเกิด แต่พี่น้องเขาแบ่งมรดกที่ดินกันไปหมดแล้วไม่มีเหลือให้ปู่เลย เพราะคิดว่า โดนระเบิดตายไปแล้ว เห็นว่าสงครามเลิกไปตั้งนานแล้ว ปู่โกรธมาก หันหลังกลับท่าหลวงทันที และไม่เคยหวนกลับไปวัดเชิงหวายอีกเลย ปู่ทำงานในโรงงานท่าหลวงในแผนกช่างไม้ จนกระทั้ง ปี 2528 ปู่เสียชีวิตที่บ้านอาเล็ก ตำบลจำปา อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ไม่ไกลจากโรงงานนัก) และอีกไม่กี่ปีต่อมาคุณย่าก็เสียตามปู่ไป

   
สตางค์แดง เหรียญมีรู อันใหญ่ 1 สตางค์  อันเล็กเหรียญเงิน 5 และ 10 สตางค์


    
 เหรียญดีบุก 50และ25สตางค์ เคยได้ใช้ปี 2503-2508 ใช้ไปนานๆ จะดำ   

โรงเรียนวัดถลุงเหล็ก สร้างเมื่อปีพ.ศ.2493 โดยบริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัด

โรงเรียนวัดถลุงเหล็กปัจจุบัน ภาพจากดาวเทียมกูเกิ้ล ปี 2557 
coor 14.560822, 100.762780

เขื่อนพระราม 6 กั้นแม่น้ำป่าสัก สมัยเป็นเด็กชั้น ป 2 -3 - 4 ช่วงฤดูเดือน 11-12 จะมีปลาสร้อยมาออเล่นน้ำ (ความจริงมันจะทวนน้ำขึ้นเหนือเพื่อไปวางไข่ แต่ติดเขื่อน ก็ทำให้ไปไม่ได้) เคยโดดลงไปฝั่งน้ำสูง(หัวเขื่อน)กับลูกผู้พี่ แล้วปีนไปตามบานประตูเหล็กด้านท้ายเขื่อน เอาสวิงไปด้วย ตักได้ปลาสร้อยมากมาย เอาใส่ถุงแป้ง ขนาดประมาณ 35x50 เซ็นติเมตร เอาไปคนละ 2 ถุง ได้ปลา 2 ถุงแล้วรัดปากถุงด้วยเชือกกาบกล้วย แล้วก็โดดลงน้ำท้ายเขื่อนที่เห็นมันไหลเชี่ยวเกรี้ยวกราดอยู่นั้นแหละ แรกๆก็ไม่กล้าโดดลงไป พี่ชายบอกว่าโดดลงไปแล้วกอดถุงปลาไว้อย่าให้หลุดมือ ก็โดลงไปพร้อมกอดถุงปลา เอ้อ ได้ผลจริงๆ ด้วยสิ ถุงปลามันจะพาลอยน้ำตลอด ไหลไปในน้ำและพยายามว่ายลัดเลาะเข้าฝั่งได้อย่างสบาย ได้ปลามาก็เอามาทำน้ำปลาหมัก ทำปลาย่างอบไว้ด้วยใบตอง ใช้ไฟอ่อนๆ เสียบไม้ไว้เป็นแผง เก็บไว้กินได้ตลอดปี ปลาอื่นที่ติดมาด้วยก็มีปลากด เอามาย่างเก็บไว้กิน ปลากา(ตัวดำมีปากอยู่เกือบใต้คาง เอาไว้หาอาหารตามพื้นน้ำ 
เขื่อนพระรามหกนี้จะมีประตูระบายน้ำ ชื่อ ประตูระบายน้ำพระนารายณ์ ผันน้ำลงคลองรพีพัฒน์ คลองที่เชื่อมโยงกันอีกมี คลองคลองระพีพัฒน์แยกตก คลองระพีพัฒน์แยกใต้ คลองรังสิต คลองหกวาสายล่าง คลองหกวาสายบน  เป็นคลองขุดพร้อมๆกับเขื่อนพระรามหก และยังมีคลองซอยจากคลองรังสิต อีก 17 คลอง ขุดจากคลองหกวา ลงไปคลองแสนแสบ (เวบไซท์คลองรพีพัฒน์และคลองที่เชื่อมโยง)


กระดานชะนวน แผ่นละหกสลึง ดินสอหินสามแท่งสลึง แตกง่าย-หักง่าย
กระดานชนวนดินสอหิน สมัยก่อนกรอบไม้จะไม่หนาแบบนี้

หนังสือแบบเรียนภาษาไทย ก กา สมัยปี 2505

กล่องข้าวกลางวัน ที่ฝามียางขาวๆ รองรับขอบนอกขอบใน แต่ กันน้ำปลาหกใส่เสื้อผ้าไม่ได้

ชั้น ประถม 2 ครูฉะอ้อนประจำชั้น ถ่ายเมื่อปี พ.ศ.2504 (ก่อนฉัน 2 ปี)


ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 2 -3 ขวบพอจะจำความได้แล้ว จำได้ว่าเคยกินนมกระป๋องชงใส่ขวดรูปงอนๆ คุณย่าทวด (บวชเป็นชี) และคุณปู่ทวด (พ่อ-แม่ของตาโต) เคยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกับฉันที่ “ห้องแถวแดง “ ห้องแถวแดงคือบ้านพักพนักงานบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (ท่าหลวง) เป็นบ้านห้องแถวชั้นเดียว ยกพื้นสูง ประมาณ 2 เมตร บันได 9 ขั้น แถวหนึ่งมี 8 ห้อง แต่ละแถวต่อกันไปตามยาว มีประมาณ 3 หรือ 4 แถว ย่าทวดจะไปๆมาๆ ระหว่างที่บ้านฉัน และบ้านน้าน้อย ส่วนปู่ทวดนั้นอยู่ที่บ้านประจำไม่ไปไหน เพียงแต่ไปเดิน ๆ เล่นทั่วๆบริเวณโรงงาน แล้วก็กลับเข้าบ้าน จำได้ว่า ปู่ทวดนี้ชอบจกเอาน้ำตาลปีบมากินเล่น ตอนอยู่ห้องแถวแดงแม่ทำขนมไทยๆขาย เช่น ขนมชั้น ข้าวเหนียวแดง วุ้น ตะโก้ ยังเคยเดินตามแม่ไปขายตามห้องแถวบ้านพนักงาน อยู่ห้องแถวแดงถึงปี 2504 ก็ย้ายไปบ้านใหม่เป็นบ้านห้องแถว 2 ชั้น ค่อยกว้างขึ้นกว่าห้องแถวแดงเยอะเลย พอย้ายมาอยู่ห้องแถวเจ๊ก ว่างเว้นจากขายขนมมานานหลายปี 2 – 3 ปี พอดีพี่ชายคนรองเข้าเกณฑ์ต้องไปโรงเรียน ฉันก็ตามพี่ชายไปบ้างแต่ แม่มาฝากอยู่กับพี่ “ผา (บุปผา)” พี่ผาเป็นลูกสาวลุง ”แก จันทร์กระจ่าง ลุงแกเป็นพี่ชาย (อาเงิน) อาเขยสามีอาลิ้ม” บ้านพี่ผาซึ่งเป็นที่ที่รับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียน วันๆ เพียงอ่าน ก.ไก่ ข. ไข่ แล้วก็เล่นกัน พอถึงเวลา “เพล” อ่านว่า เพน แปลว่า 11 โมงเช้า พระวัดถลุงเหล็ก จะตีกลองดังสนั่นไปทั่วท้องทุ่ง และจะฉันท์อาหารเพล และเวลาเรียนก็จะเรียนกันวันขึ้น-แรม 1 – 6 ค่ำและ 9 – 13ค่ำ วันขึ้น-แรม 7 และ 14 ค่ำเป็นวันโกน     และวันขึ้น-แรม 8 และ 15 ค่ำจะเป็นวันพระ  โรงเรียนและหน่วยงานราชการจะหยุด พอสิ้นปี แล้วเปิดเทอมใหม่ ฉันก็ยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าเรียนประถม 1 ก็ตามพี่ชายไปอีก แต่ปีนี้แม่มาฝากไว้กับ โรงเรียน “โรงยา”   ซึ่งมียายแก่ๆ เคยเป็นครูมาก่อน มาเปิดรับเด็กก่อนวัยเรียนช่วยดูแลแทนพ่อแม่ มาโรงเรียนโรงยาก็ไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมากมาย ส่วนใหญ่จะเล่นกัน และฟังนิทานจากครู  พอมาถึงปี 2505
(2504 มีเพลงผู้ใหญ่ลี ตีกลองประชุม โด่งดังมาก)

ปี 2505 ฉันก็ได้เข้าเรียนชั้นประถม 1 มีห้องเดียว ไม่มีทับโน่นทับนี่ ที่โรงเรียนวัดถลุงเหล็ก ตำบลท่าหลวง อำเภือท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ใกล้ๆ กับเขื่อนพระรามหก ได้รับกระดานชนวน ดินสอหินหนึ่งแท่ง ไม่ต้องมีหนังสือ ไม่ต้องถือกระเป๋า มีถุงย่ามใส่กระดานชนวนกับดินสอหิน และกล่องข้าวอลูมิเนียม เวลาเรียนครูสุธรรม จะเขียนให้เขียนตามบนกระดานดำ เรียนคณิตศาสตร์ก็เขียนตัวเลข ส่งครูตรวจในชั่วโมงเลย พอครูสุธรรมตรวจเสร็จก็จะวิ่งออกไปนอกห้องเอากระดานชนวนไปล้าง แล้วก็มาเรียนวิชาต่อมาภาษาไทย มีวิชาคัดลายมือด้วย ก็อ่าน ๆ เขียนๆ ตามครูจดไว้ให้บนกระดานดำ กระดานชนวนราคาดูจะประมาณ 1.50บาท (สมัยนั้นจะเรียกกันเป็นสลึง คือหกสลึง ถ้า 2.50 บาทก็จะเรียกสิบสลึง แต่เลยสิบสลึงแล้วก็เรียก สามบาทห้าสิบ ดินสอหิน 3 แท่งสลึง) ได้สตางค์ไปโรงเรียนวันละ 25 สตางค์ ซึ่งบางวันอาจเป็นเหรียญ 5 สตางค์ ก๋วยเตี๋ยวชามละ 15 สตางค์ ขนมไทยๆ เช่นขนมด้วง ใส่ห่อด้วยใบตองห่อหนึ่ง 5 สตางค์ น้ำกินมีน้ำฝนในถังคอนกรีตขนาดยักษ์ข้างโรงเรียน ดินสอมักจะหักง่าย แต่ก็ใช้เขียนได้จนหมดแท่ง บางทีไม่มีดินสอหิน ก็หาตาปูมาเขียนแทน แต่มันก็ทำให้กระดานเป็นรอย อาหารกลางวันจะเตรียมไข่ต้ม ใส่น้ำปลามาด้วย ใส่กล่องอลูมิเนียม มันปิดไม่ได้สนิทนัก น้ำปลามักจะหกเล็ดลอดออกมาเปื้อน เสื้อผ้าอยู่บ่อยๆ


วิทยุ Baughfunke หรือ Grunndik จำไม่ได้ มี AM SW1 SW2 (พวกคลื่นช็อตเวฟ 1, 2นั้น
พวก ค่ายคอมมิวนิสต์ จีน เวียตนาม โซเวียต ใช้ออกอากาศโฆษณาชวนเชื่อว่า
การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์นั้นดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ 

ทรทัศน์ TOSHIBA ขาวดำ มีปุ่มหมุน บิด หาช่อง มีเพียง 2 ช่องเท่านั้น
คือ ช่อง 4 บางขุนพรม และ ช่องกองทัพบกช่อง 7
หนังยอดนิยมสำหรับเด็กคือ "ยอดมนุษย์อุลตร้าแมน" 

ตู้เย็น GE ราคาสุดแพง ของใช้สำหรับคนรวย

อาคาร 2 สร้างใหม่ปี 2506

ปี  2506 ขึ้นประถม 2 ครูประจำชั้นชื่อครูฉะอ้อน ไม่ต้องเอาข้าวกลางวันมากินแล้ว เพราะได้เพื่อนเป็นลูก
ศิษย์วัดถลุงเหล็กพาไปกินข้าววัด ที่ตัวอาคารไม้ของโรงเรียนมีขนาดเล็กไม่พอให้ทุกชั้นเรียน ประถม 2 จึงต้องย้ายมาเรียนศาลาวัดถลุงเหล็ก เรียนๆ ไปบางวันก็ต้องลงไปเรียนข้างล่าง ลานวัด เพราะมีพิธีศพกันบนศาลาวัด เรียนปนเล่น “Kindergarten เรียนปนเล่นของเยอรมัน” พอเพลก็รีบวิ่งไปกุฏิพระ เตรียมจัดบาตร ปิ่นโตอาหารมาประเคนพระ พอพระฉันท์เสร็จก็เอามากินรวมๆ กัน บางวันมีการแอบขโมยกับข้าวบางอย่างกัน เช่นมีไข่ต้ม ก็จะเอาไข่ต้มที่ได้มาเลียๆ เสียก่อน ไม่อย่างนั้นโดยขโมย ก็จะอดกิน ปี2506 เหรียญสตางค์รูและสตางค์ 5 สตางค์ไม่นิยมใช้กันแล้ว ใช้แต่เหรียญสลึงกับเหรียญห้าสิบ ดีบุกกันมากกว่า
และระบบราชการและโรงเรียนที่เคยหยุดวันโกนวันพระก็ยกเลิกมาหยุดเสาร์อาทิตย์แทน
วันเด็กจากเดือนตุลาคมวันจันทร์แรก (2498 - 2506) มาเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม 2508 เป็นต้นมา สมัยปี 2508อยู่ชั้นประถม 4 แล้ว วันเด็กปู่จะเตรียมลูกอมนมเม็ดโตๆ 3 เม็ดสลึง กับลูกอมแฮ็ค (เม็ดดำๆ รีๆ เม็ดเบ้อเริ่มเลย) 3 เม็ดสลึง กับสตางค์เหรียญ 50 สตางค์ ไว้แจกหลานๆ บ้านฉัน 5 คน บ้านอาส้มลิ้ม 5 คน บ้านอาเล็ก 2 คน บ้านอาจี๊ด 3 คน ในปี 2506  แม่ได้มาขายก๋วยเตี๋ยวในโรงอาหารโรงงาน ขายก๋วยเตี๋ยวหมู ฉันมีหน้าที่ขี่จักรยาน (ขี่จักรยานได้แต่นั่งบนเบาะไม่ถึงตัวยังเล็กเกิน) ไปซื้อเส้น “บะหมี่” เส้นใหญ่ เส้นหมี่เป็นหมี่แห้งมีขายเป็นกิโล ที่ตลาดท่าหลวง (ใกล้ๆกับเขื่อนพระราม 6) ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เจ้าของร้านชื่อเฮียย้ง ลูกชายผู้เป็นเรี่ยวแรงให้อาย้ง ชื่ออาเอี๋ยว เวลาประมาณ ตี 5 ฉันจะต้องตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จก็ขว้าจักรยาน Humburg คู่ใจของคนทั้งบ้าน ปั่นไปตลาดท่าหลวงไปซื้อเส้นบะหมี่กับเส้นใหญ่ ช่วงฤดูหนาวสมัยนั้นหนาวจับใจจริงๆ เสื้อผ้าสมัยก่อนก็ไม่ค่อยมีกันหรอก มีเสื้อผ้าขนแขนยาวกันคนละตัว เท่านั้น เสื้อผ้าเป็นของหายาก ยิ่งรองเท้านั้นไม่ต้องใส่ เดินตีนเปล่ากันจนประถม 4 ส่วนพี่ชายคนโต ใช้รถมอร์เตอร์ไซค์ ซูซูกิ แบบผู้ชาย 80 ซีซี ใช้น้ำมันเบนซิน ผสมน้ำมันเครื่องลงไปในถังน้ำมันเลย พี่คนโตมีหน้าที่ไปซื้อเนื้อหมู มันหมู ผักต่างๆ พริก น้ำส้ม ฯลฯ พี่ชายคนรองมีหน้าที่ไปติดไฟ ตั้งหม้อน้ำต้มกระดูกหมู เจียวน้ำมันหมู สับกระเทียม เจียวกระเทียมใส่กากหมูด้วย สายๆ แม่จะมาใส่เครื่องเทศเครื่องปรุง จำได้ว่า มีพริกไทเม็ด รากผักชี โป๊ยกั้ก (ดอกดาว 8 แฉก) อบเชย (เปลือกไม้) ซีอิ๊วดำ กระดูกหมู
ทุกคนหลังเลิกเรียนมาต้องมาช่วยแม่เก็บล้างหม้อก๋วยเตี๋ยว ล้างถ้วยชาม เสร็จก็กลับบ้านซึ่งไม่ไกลจากโรงอาหารนัก เย็นค่ำพอดี อาบน้ำ 2 ทุ่มก็เข้านอน ไม่มีโทรทัศน์ดู คนเป็นนายช่างเงินเดือนเยอะๆ จึงจะมีโทรทัศน์ดู เป็นจอขาวดำ ตู้ใหญ่โตมโหฬาร ตู้เย็นก็มีใช้แล้ว

ปี 2507 ขึ้นชั้นประถม 3 ครูประจำชั้นชื่อครูโสภณย้ายเรียนอาคารใหม่ชั้นเดียว มี 4 ห้อง เป็นอาคารที่สร้างใหม่โดยบริษัทปูนซิเมนต์มาสร้างให้เพราะโรงเรือนเก่าคับแคบไม่พอเรียน แม่ทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดเพิ่มอีก พี่ชายคนโตกับฉัน ต้องไปซื้อเป็ด หลังจากไปซื้อเส้นมาแล้ว ก็ต้องขี่มอร์เตอร์ไซค์ไปตัวจังหวัดสระบุรี เพื่อไปซื้อเป็ดที่เชือดและถลกขนออกแล้ว ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร สมัยนั้น เช้าๆ ฤดูแล้งอากาศยังคงเย็นสบายๆ กลับจากสระบุรีก็เตรียมกินข้าวไปโรงเรียนกัน ย้ายจากศาลาวัดไปเรียนอาคารใหม่

ปี 2508 ขึ้นอยู่ชั้นประถม 4 ครูประจำชั้นชื่อครูวันชัย ชั้นประถม 4 นี้มีให้สมัครเป็นลูกเสือสำรองด้วย ก็สมัครเป็นลูกเสือสำรองกับเขาด้วย เรียนการจัดแถว ผูกเงื่อน ปีนี้มีรองเท้าผ้าใบใส่แล้ว คู่ละ 27 บาท ซึ่งเป็นราคาที่แพงมาก รองเท้ายี่ห้อช้างดาว อีกปีต่อมา มีคู่แข่ง ยี่ห้อบาจา ผลิตออกมาขายแข่งกัน รูปร่างเบาบางกว่า ราคาถูกกว่า 1 บาท
ในปีนี้ทางโรงงานรื้อโรงอาหารเก่าทิ้ง แล้วไปสร้างอยู่ห่างจากบ้านมาก แถวบรเวณโรงเหล็ก (บริษัทเหล็กสยามจำกัด GPS : 14.569846  100.759574) เมื่อเวลาโรงเรียนปิดเทอมใหญ่ก็จะมาเก็บเศษเหล็ก แยกเหล็กเหนียวกับเหล็กหล่อ แยกกองๆ ไว้พอได้มากๆ ก็ไปเรียกรถตักมาตักไปชั่งกิโล ได้ค่าจ้างกิโลกรัมละ 1 สตางค์ (หนึ่งสตางค์) วันๆ นึงก็เก็บได้หลายกิโล เก็บไม่เต็มวันได้ประมาณร้อยกว่ากิโลกรัม ได้วันละหกสลึงก็เลิศแล้ว ถ้าไปซื้อน้ำอัดลม สมัยนั้นมีน้ำตระกูลเป็ปซี่ มิรินด้า เซเว่น อัป, โคคาโคล่า มีโปรโมชั่น แลกซื้อลูกดิ่ง Yo Yo (แฟนต้า สไปรท์ ยังไม่มี) ราคาขวดละ 2 สลึง ซึ่งเป็นราคาที่แพง
ถ้าหน้าๆ กองเหล็กมีแต่เหล็กใหญ่ๆ ก็ไปตามรถตักมารื้อกองเหล็ก ให้กระจาย จะได้หาเก็บเหล็กเล็กๆ ได้ง่าย ใครมีแรงมากจะเก็บแท่งใหญ่ๆ หนักๆ ก็ได้น้ำหนักมากดี ใช้เวลาหลังจากช่วยแม่ตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว และเย็นๆ ก็กลับมาช่วยแม่เก็บร้าน
โรงอาหารใหม่อยู่ไกลก็เลยเลิกขาย สมัยก่อนไม่มีรถกะบะใช้ ประจวบกับต้องย้ายบ้านใหม่ไปอยู่ห้องแถว 36 ห้อง เป็นตึกแถว 2 ชั้น โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ก่ออิฐบล็อกหนา 20 เซนติเมตร มีสนามเด็กเล่นกว้างขวาง มีบ่อทรายให้เล่นด้วย ปีใหม่ทีทางบริษัทจะจัดเลี้ยงฉลองปีใหม่ให้ที่บ้านงู ทุกปี


(ภาพบน) อาคารที่เรียกว่า 36 หลัง เป็นอาคาร 2 ชั้น แถวละ 12 ห้อง รวม 3 แถว ชั้นล่างมีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องครัว ด้านหน้าบ้านจะมีที่ดินนิดหน่อยพอปลูกต้นไม้สวยงามได้ ด้านหลังหน้าห้องน้ำกับด้านข้างครัว จะเป็นลานโล่งไม่มีหลังคา เพื่อเอาไว้ตากผ้า ไม่มีที่จอดรถ ชั้นบนจะมีหนึ่งห้องนอนใหญ่ และห้องโล่งๆ ข้างบันได สมัยก่อนนี้ไม่มีประตู หน้าต่างมุ้งลวด ต้องนอนกางมุ้งผ้า อากาศยามฤดูร้อน ก็ร้อนแสนสาหัส ยิ่งต้องนอนรวมกันในมุ้ง 4 คน ละก็ร้อนบอกไม่ถูกเลยละ พี่ชายคนโตจองห้องนอนข้างล่างคนเดียว ส่วนพวกเราน้อง ๆ 4 คน นอนรวมกันมุ้งเดียว พัดลมไฟฟ้าสมัยนั้นไม่ค่อยมีขาย มีพัดลมไฟฟ้าใช้ไฟฟ้า 110 โวลท์ต้องมีหม้อแปลง ราคาจะแพงมาก คนจนๆ ซื้อไม่ได้ ใช้พัดมือ ทำจากใบลาน ทำจากไม้ไผ่สาน นอนหลับไปด้วยความร้อนและเพลีย ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ฟรีทุกอย่าง เตาไฟก็ใช้เตาขดลวดไฟฟ้าที่ต่างคนก็ทำมาใช้เอง จากวัสดุในโรงงาน สมัยนั้นยังไม่มีแก็ส พ่อค้าแม่ค้าที่ต้องใช้ความร้อน ก็ต้องใช้เตาถ่าน 



บริษัทปูนซิเมนต์ไทยได้สร้างเรือนรับรองไว้ให้เสด็จประทับแรม ของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และพระราชินี เสด็จเยือนโรงงานท่าหลวง ปี พ.ศ. 2501 เป็นบ้านไม้ตกแต่ง เล่นระดับชั้นและมีชานเดินยื่นไปถึงกลางสระน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงปล่อยปลาที่สระด้วยทั้งสองพระองค์ บ้านพักรับรองหลังนี้ ตรงโค้งประตูเป็นบานไม้ทรงขนมเปียกปูน ปลูกไม้เลื้อยออกดอกสวยงามและหอมมีสีม่วง สีเหลือง สองข้างของบานไม้ที่โค้งเป็นรูปงูใหญ่ (พญานาค) เป๊นปูนปั้นสูงเท่าประตูไม้และโค้งของหัวงูใหญ่มาบรรจบกันตกแต่งได้สวยงามอย่างมีศิลปะ จึงเป็นสาเหตุให้เรียกบ้านพักรับรองนี้กันว่า "บ้านงู" 

เย็นๆ หลังเลิกงานพ่อจะตั้งวงเหล้ากับเพื่อนบ้านกันทุกวัน ฉันเองยังดื่มด้วย พวกผู้ใหญ่จะยัดเยียดให้
มาอยู่บ้าน 36 หลังไกลกว่าบ้านเก่าที่จะไปโรงเรียนวัดถลุงเหล็ก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเดินไป
อยู่ที่ 36 หลังได้ไม่นาน พ่อก็มีเมียใหม่อีก เป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ อยู่อำเภอบางปะหัน พระนครศรีอยุธยา เพราะครอบครัวฉัน จะไปเยี่ยมครอบครัว อาผู้หญิงของแม่ ชื่อว่า ยายหลิน ยายหลินมีลูก 3 คน แม่นันทวัฒน์เป็นคนโต มีลูกติด 2 คนเป็นผู้ชายทั้งหมด ชื่อแจ็ค กับ น้อง คนรองชื่ออัมรา จบธรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ตั้งแต่สมัยฉันอยู่ชั้นประถม 5 คนเล็กสุดอายุอ่อนกว่าฉัน 2 ปี ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ที่อำเภอ 300 ยอด
แม่เริ่มขายเหล้าขายเบียร์ แช่ตู้เย็นไว้เย็นเจี๊ยบเลย และมีอาหารแกล้มเหล้าขาย ถั่วลิสงทอด แม่คิดสูตรขึ้นมาเอง เอาถั่วลิสงมาลวกน้ำร้อน ลอกเปลือกออก นำไปทอดใส่น้ำมันในกระทะเยอะๆ ทอดจนสีเหลืองสวยก็ตักเอาขึ้นใส่กระด้งโรยเกลือป่นใส่ไปเล็กน้อย เย็นและน้ำมันไม่ฉ่ำแล้วก็ตักใส่โหลแก้วใหญ่ๆ

อาคารเรียนหลังที่ 1 ปลูกสร้างเมื่อ พ.ศ. 2507 เปิด 2508 
Coor 14°34'23.0"N 100°46'25.0"E 14.573060, 100.773615
ปัจจุบันเป็น วิทยาลัยเทคนิคท่าหลวงซิเมนต์ไทยอนุสรณ์ 
ถนนเทศบาล 1 ถนนเทศบาล 1 อ.บ้านหมอ สระบุรี 18270

อาคารโรงอาหารชั้นเดียวข้างล่าง

ป้ายชื่อโรงเรียน

บ้านพักครูของโรงเรียนซิเมนต์ไทยจำกัด บ้าน-น้ำ-ไฟฟรี


ปี 2509 ขึ้นชั้นประถม 5 ครูประจำชั้นชื่อครูกรรณิการ์ ที่โรงเรียนวัดถลุงเหล็กมีแค่ 4 ชั้น เมื่อจบประถม 4 แล้วก็มาเข้าเรียนที่ โรงเรียนซิเมนต์ไทย (อุปถัมภ์) เป็นโรงเรียนของบริษัทปูนซิเมนต์สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับลูกหลานพนักงานบริษัทให้มีที่เรียนใกล้ๆ ไม่ต้องไปเรียนในตัวจังหวัด ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2507 เริ่มเปิดการสอน ปี พ.ศ.2508 ฉันเข้ามาเป็นรุ่นที่ 2 เลขประจำตัว ซ.ท.122
โรงเรียนซิเมนต์ไทยนี้เปิดสอนตั้งแต่ชั้น ประถม 5-6-7  ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 1-2-3 เสียค่าเล่าเรียนปีละ 300.-บาท
ปีหนึ่งๆ จะมีนักเรียนไม่มากนัก ชั้นเรียนหนึ่งจะมีประมาณ 3 ห้อง เช่น ป.5ก ป.5ข ป.5ค มีอุปกรณ์การเรียนการสอนครบครัน เช่นห้องแลปวิทยาศาสตร์  มีเครื่องดนตรีหลายชนิด มีวงดุริยางค์ มีการเรียนการสอนทำเซรามิคส์ นักเรียนแต่ละห้องเรียนมีไม่มากประมาณ 20 กว่าคน เริ่มเรียนภาษาอังกฤษในชั้นประถม 5 มีแบบคัดลายมือด้วยปากกาคอแร็งค์ หมึกอินเดียอิงค์  ปี 2509 นี้ เศรษฐกิจสูงขึ้น ข้าวปลาอาหารเริ่มแพงขึ้นตามความเจริญของบ้านเมือง
สมัยก่อนสนับสนุนให้เรียนจบชั้น ประถม 4 แต่ก็มีคนเรียนน้อย จบประถม 4 แล้วก็ไปเรียนต่อมัธยม 1 และชั้นมัธยมจะมีตั้งแต่มัธยม 1 – 8 เรียกมัธยมว่า ม. 1 – ม. 8

ปี 2510 ขึ้นชั้นประถม 6 ครูประจำชั้นชื่อ ครูธงชัย การเรียนและชีวิตประจำวันไม่มีอะไรมาก เรียนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ วันเสาร์ครึ่งวัน มาสวดมนต์ไม่ได้เรียน สวดมนต์เสร็จก็กลับบ้าน ตอนสมัยอยู่วัดถลุงเหล็ก ก็เคยอยู่กับเพื่อนลูกศิษย์วัดและเคยนอนที่กุฏิพระที่เพื่อนนอนอยู่บ่อยๆ ก็เลยทำให้จำบทสวดหลักๆได้
ทางบริษัทปูนซิเมนต์ได้จัดพนักงานมาตัดแต่งต้นสน อย่างสวยงาม ด้านหน้าอาคารเรียนจะตัดแต่งแบบทรงกรวยคว่ำยอดแหลม ส่วนทางด้านหน้าประตูรั้ว จะตัดแต่งแบบ ทรงกระบอกเป็นแท่งตรงขึ้นไป สนามหญ้าและไม้ประดับริมทางเท้าหน้าอาคารเรียน ก็จะมาตัดแต่งทุกเดือน

ปี 2511 ขึ้นชั้นประถม 7 สมัครเข้าวงดุริยางค์โรงเรียนในตำแหน่งกองเทนเนอร์ ตีด้วยไม้หัวสักหลาด 2 อัน ซ้าย-ขวา เสียงสูงกว่ากลองใหญ่ ใบใหญ่กว่ากลองแต็ก ฝึกซ้อมอยู่หลายเดือนก็ได้เข้าร่วมเดินขบวนบรรเลงกับวงดุริยางค์แล้ว
มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับนักเรียนหญิง จำชื่อเล่นได้ว่า”ม่วย” มีเมนส์แล้วไม่รู้ตัวและไม่รู้จัก นั่งร้องโอดโอย บอกว่าปวดท้อง ร้องไปร้องมา ฟุบงีบลงบนโต๊ะเรียน สักเดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาร้องต่อ แต่สักพักหนึ่งมีเลือดออกมา โดยเจ้าตัวบอกกับเพื่อนผู้หญิงที่มาคอยลูบหลังลูบไหล่เอาใจช่วย ยิ่งเห็นมีเลือดม่วยก็ยิ่งร้องไปใหญ่ ไม่มีใครไปบอกครู สักพักก็มีครูผู้หญิงผ่านมาเห็นก็ให้เพื่อนช่วยขี่จักรยานกลับไปบ้านเอาผ้านุ่งมาให้เปลี่ยน แล้วครูก็ไปบ้านเอาผ้าอนามัยมาให้
พี่ชายคนโต จบชั้นม.ศ.3ไปแล้ว เข้าทำงานในบริษัทเหล็กสยาม สมัยนั้นเข้างานง่ายเพราะต้นตระกูลฉันทำอยู่ในบริษัทปูนซิเมนต์ไทยกันทั้งตระกูล บริษัทเหล็กสยามก็เป็นเครือของโรงปูน ทำงานได้3 ปีก็ไปเกณฑ์ทหาร ติดทหารที่สระบุรี หมดเกณฑ์ออกมาก็ได้ทำงานที่โรงปูน โดยได้รับเงินค่าแรงเท่าที่เคยได้จากโรงเหล็ก ทำอยู่ไม่กี่ปีก็โดนย้ายไปโรงงานแก่งคอย ไปขับรถไฟรับส่งปูนไปสถานีแก่งคอย แล้วก็ได้ย้ายไปขึ้นเหมืองหิน ทำงานที่แก่งคอยจนปี 2547 เสียชีวิตด้วยเหตุเนื้องอกในสมองไม่รู้สึกตัวว่าเป็นเลยไม่ได้รักษา

ปี 2512  ได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้ว (อายุ 14 ปีแล้ว) ม.ศ. 1 นี้เริ่มเรียน พีชคณิต ซึ่งเป็นวิชาใหม่แยกแขนงจากคณิตศาสตร์ ฉันเรียนๆ แล้วชอบก็เลยเข้าใจได้ง่าย ผลการเรียนที่ผ่านมา ได้เปอร์เซ็นต์ 79 – 84 % มาตลอด ผู้ที่สอบได้ที่ 1 ได้ 85 -89 % เรียนมาถึงปลายปี (เมื่อสมัยก่อนเรียนกัน 3 เทอม มาเปลี่ยนแปลงเป็น 2 เทอมประมาณปี 2516) ปลายปีได้สมัครเรียนเป่าทรัมเป็ท (Trumpet)  หลังเลิกเรียนทำการบ้านที่โรงเรียน เสร็จแล้วก็ซ้อมเป่าทรัมเปท มีครูมาสอนอ่านโน๊ตสากลด้วย เป็นทหารจากลพบุรี

ปี 2513 ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การเรียนดนยตรีสากลก้าวหน้าไปมาก อ่านโน้ตสากลได้คล่องแล้ว เทอมปลายได้เข้าร่วมวงดุริยางค์ออกงานแล้ว งานแรกคืองานทอดผ้ากฐินที่วัดเนรัญชราราม ตำบล ชะอำ อำเภอ ชะอำ เพชรบุรี 76120 (Coor dinates 12°45'59.0"N 99°57'27.7"E 12.766381, 99.957706) ใกล้ๆกับหาดชะอำ
วงดุริยางค์ต้องแต่งชุดลูกเสือ มีสนับแข้งสีขาวรัดไว้เท่ๆ สวมถึงมือขาว สวมหมวกเบลเล่ต์ ติดเครื่องหมายทองเหลืองรูปพินด้วย ในชั้นเรียนนี้เรียนวิชาทำเซรามิค มีเตาเผาเล็กๆหนึ่งเตา มีเชื้อเพลิง เศษไม้สัก ถ่าน ฟืนไม้ธรรมดา การให้ความร้อนของแต่ละชนิดของเชื้อเพลิงจะต่างกัน คุณภาพสีก็จะออกมาต่างกัน
พี่ชานคนที่ 2 จบชั้นม.ศ.3ไปแล้ว ไปเรียนต่อสายอาชีพช่างก่อสร้างที่จังหวัดกำแพงเพชร ไปเรียนได้หนึ่งปี ไปทำเพื่อนนักเรียนด้วยกันท้อง แม่และฉันต้องไปกำแพงเพชรไปขอขมาพ่อแม่ผู้หญิง ผู้หญิงต้องออกจากการเรียน ส่วนพี่ชายยังเรียนต่อไปได้และเข้าไปอยู่บ้านพ่อแม่ผู้หญิง ปีต่อมาก็คลอดลูกเป็นผู้ชาย ชื่อเอก  แต่ผลที่สุดจนปีที่ 3 ก็เรียนไม่จบ (จำไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด) ก็กลับมาตั้งต้นที่บ้าน ทิ้งลูกเมียไว้ที่กำแพงเพชร ตั้งแต่หลานเกิดจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นหลานเลย
และแล้วก็ไปเรียนต่อวิชาชีพก่อสร้างเหมือนเดิมที่จังหวัดสงขลา ไปเรียนได้ 2 ปีก็เรียนไม่จบกลับมาบ้านไปเกณฑ์ทหาร ติดทหารที่สระบุรี หมดเกณฑ์แล้วก็ออกมาทำงานโรงปูนแก่งคอย
ช่วงปิดเทอมใหญ่จาก ม.ศ. 2 ขอพ่อเข้าไปทำงานกรรมกรในโรงงานด้วยกับพี่ชายคนรอง ทำงานได้ค่าแรงวันละ 17.- (สิบเจ็ดบาท) กลางคืนมีล่วงเวลาด้วยถึง 4 ทุ่ม มีทำบ่อย เดือนๆ หนึ่งจะได้รับค่าแรงประมาณ 600 กว่าบาท ทำได้สองเดือน รวมเงินได้ 1200 บาทไปซื้อวิทยุ คลาสเซ็ท รุ่นแรกออกใหม่เอี่ยม จากญี่ปุ่น ยี่ห้อ “ออเรี้ยน ORION” ราคา 1300 บาท ตังค์ไม่พอ ขอแม่เพิ่ม ใช้มาได้ถึงปี 2520



ปี 2514 ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ. 3 เทียบเท่ากับ ม. 4 ในสมัยนี้) เริ่มมองเห็นเพื่อนผู้หญิงว่าสวยแล้ว มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ แน่งน้อย บัวเล็ก เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เป็นคนผิวขาว หน้าสะสวย นึกนิยมชมชอบว่าสวยน่ารักดี แต่ไม่ได้จีบ ไปจีบแซวเล่นกับเพื่อนคนละห้อง ชื่อ “อ๊อด บุศรา แสงทองล้วน” เคยขี่จักรยานไปเที่ยวบ้านเธอบ่อยๆ เวลาจะไปถึงนั้นต้องข้ามฟากไป โดยตระโกนเรียกเธอ เธอก็จะยืนพายเรือข้ามมารับ ในสมัยนั้นสนิทกับเพื่อนผู้หญิงหลายคน สนิทมาตั้งแต่ป. 5 แล้ว
ทางโรงงานมีพวกญาติๆ หุ้นส่วนบริษัท มาเยี่ยมโรงงาน ก็มาเยี่ยมโรงเรียนด้วย เขาให้ที่อยู่พวกนักเรียนของเขาที่ เดนมาร์ก จดหมาย แอร์เมล์คุยกัน ค่าซองแอร์เมล์ 2.50บาท เป็นซองกระดาษบางๆ เขียนบนซองนั้นเลยแล้วปิดซองส่งไปรษณีย์ จำชื่อได้ว่า  “Eyesa Bennetsen” ตอนเทอมกลาง อายุครบ 17 ปีแล้วต้องไปแสดงรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานสัสดีอำเภอเพื่อลงทะเบียนทหารกองเกิน และทำบัตรประชาชน
ในปีนี้เช่นกันที่สนิทกับเพื่อนในบ้านพัก 36 หลัง ชื่อ ดา (เกิด 2496) กับ ออด (เกิด2498) อ๋อย (เกิด2500) หญิง3 คน และน้องชายอีก 1 คน รวม 4 พี่น้อง ขณะนั้นโรงปูนก่อสร้างบ้านพักเพิ่มเป็น 72 หลัง แต่ก็ยังเรียกกันว่า 36 หลังเหมือนเดิม ไปมาหาสู่กับเพื่อนบ้านนี้บ่อย และมีญาติดา อีกคนอยู่ชั้น ม.ศ. 3 ด้วยกัน ชื่อ บรรจง ธูปบ้านเศร้า และน้าแสง แหม่มลูกป้าไร ไอ้เอื้อมพร(ผู้ชายนะ) ชูชาติ ทั้งหมดจะเป็นเพื่อนเล่นกัน ยิ่งในช่วงปิดเทอม จะเล่นกันที่สนามเด็กเล่นจนดึกดื่น บางวันก็ไปอาศัยนอนบ้านบรรจง เพราะมีกันแค่ 3 คนพี่น้อง พ่อไปอยู่อีกบ้านหนึ่ง แม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก
ชื่อครูที่สอนในโรงเรียนซิเมนต์ไทย อุปถัมภ์ ท่าหลวง 1.กรรณิการ์ 2.ส้มลิ้ม 3.สิหนาท 4.เกษม 5.กิ่งกนก 6.ประไพ 7.ธงชัย 8.โสภณ 9.ผดุง 10.สมาน(พละ) 11.มหา 12.กำธร 13.ปรีดา(พละหญิง) 14.เชาว์ 15.วิไล  16.เพ็ญศรี 17.ครูชูชื่น 18.ครูใหญ่ อำนวย 19.ครูสอนเซรามิค ประสาน

ต้นๆปี 2515 เดือนมีนาคม ประมาณวันที่ 7 – 10 สอบไล่ชั้นม.ศ. 3 สอบเสร็จก็ปิดเทอม ประมาณสิ้นเดือนมีนาคม มาโรงเรียนมารับใบสุทธิ ไปสมัครสอบเข้าเรียนต่อไป จบม.ศ. 3 มาได้คะแนน 69% ไปสมัครสอบเข้าวิทยาลัยช่างกลปทุมวัน ไม่ติด เขาออกข้อสอบวิชาชีพทางช่างด้วย ซึ่งไม่เคยเรียนมาเลย ไม่มีครูแนะแนวอีกด้วยไปสมัครสอบ เทคโนโลยีพระจอมเกล้า (เทคนิคไทย-เยอรมัน) ไม่ติด ทั้งสองที่ จะมีข้อสอบ เกี่ยวความรู้พื้นฐานวิชาช่าง ซึ่งไม่ได้เรียนกันมาเลย โรงเรียนบ้านนอก ครูก็บ้านนอกไม่รู้ทันว่าการสอบเข้าแต่ละที่นั้นจะต้องสอบอะไรบ้าง
  

 ในที่สุดพ่อเอามาฝากกับอาที่ซอยเขมานฤมิตร ตรงข้ามวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ โดยที่พ่อให้แม่เลี้ยงฝากเพื่อนเข้าโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ครูใหญ่ชื่อ นายสง่า ดีมาก จังหวัดนนทบุรี เข้าเรียนชั้น ม.ศ. 4 (มัถยมศึกษาชั้นสูง 4 – 5) ครูประจำชั้นชื่อครูเชวง

 โรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล 


 หลังประเพณีสงกรานต์ เกือบๆ สิ้นเดือนเมษายน ก็จัดการเตรียมเสื้อผ้า พี่ชายคนรอง พามาส่งบ้านอาที่ซอยเขมานฤมิตรกรุงเทพฯ เอาสำเนาทะเบียนบ้านมาด้วยเพื่อย้ายเข้าบ้านอา ในการเข้าเรียน บ้านอาอยู่ซอยเขมานฤมิตร ประชาราษฎร์สาย 1 ซอย 36 ไปโรงเรียนได้เงินเดือนละ 200.- ค่ารถเมล์สายนอกกรุงเทพ ค่ารถ 50 สตางค์ ค่าข้าวกลางวัน ข้าวไข่เจียว 3.- บาท ราดแกงด้วย 5.- บาท เรียน ร.ด.ด้วย เงินที่เหลือจากกิน ค่ารถ ก็จะซื้ออุปกรณ์การเรียนบ้าง ตอนนั้นเริ่มหัดสูบบุหรี่กับน้องอาผู้หญิงที่มาอาศัยอยู่ด้วย เขาเรียน ปก.ศ.สูง (ประกาศนียบัตร วิชาการศึกษาชั้นสูง) ที่ วิทยาลัยครูสวนสุนันทา) ภาคค่ำ ทำงานกลางคืนที่โรงแรมโอเรียนเต็ล แผนกล้างถ้วยจาน เช้าออกเวรมาก็มานอน บ่ายสายหน่อยก็ตื่นไปเรียน
ฉันมีปัญหาทางบ้าน พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยมากขึ้น บวกกับการพลัดพรากจากถิ่นที่อยู่เดิมมาอาศัยอยู่กับอา ก็ยิ่งทำให้คิดถึงบ้านมากขึ้น ความเป็นอยู่ในบ้านอาก็ห่างเหินมาก อาทั้ง2 คน อาตึ๋ง (สมบุญ) อาแจ๋ว (กำจัด) ทำงานโรงแรมสยามอินเตอร์คอนทิเนนตัล (สยามพาราก้อนปัจจุบัน)
อาทั้ง 2 คนทำกะกลางคืน เช้าออกงานมา ก็นอน บ่าย 4 ก็ตื่นอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน แถมพอกลางๆ ปีอาผู้ชายเอาหมาพันธุ์โดเบอร์แมน (Doberman Pinscher) มาเลี้ยงตอนอายุได้ 4 – 5 เดือน ตอนแรกๆ มันไม่ค่อยเท่าไร เช็ดขี้มันด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วโยนทิ้งข้างบ้าน รอบๆบ้านเป็นแอ่งน้ำขังเป็นสลัมอยู่กันแออัด หลังคาเกยกันเลยเชียวแหละ เยี่ยวหมาก็ราดน้ำในกรงมันนั่นเลย น้ำก็ไหลลงใต้ถุนแอ่งน้ำไป พอมันโตๆ ขึ้นมา มันคงจะติดสัตว์มันร้องโหยหวนตอนกลางคืน ผู้คนเดินผ่านข้างบ้านมันได้เสียงมันก็เห่าเขา เป็นอันว่ากลางกันคืนไม่ค่อยได้หลับเท่าไร เครียดมากๆ “ดุ้ย” เพื่อน คือน้องอาแจ๋ว อาผู้หญิงนั่นแหละ) มันก็ทนไม่ได้กับเสียงร้องครวญครางของหมา มันทั้งทุบ ทั้งต่อย ทั้งดึงหูอันน้อยนิดของหมาเกือบทุกอาทิตย์ที่เป็นวันหยุด  แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ไหนจะปัญหาทางบ้านไหนจะปัญหาบ้านอา ปรากฏว่า ผลการเรียน “สอบตกซ้ำชั้น พ่อแม่ก้ตำหนินิดหน่อย

ปี 2516 อาจารย์เอาคะแนนสอบมาให้ดูว่า ตกวิชาภาษาไทยไปไม่กี่คะแนนเอง เรียนซ้ำชั้นกับเพื่อน 2- 3 คน ปัญหาเก่าๆ รุมเร้าไม่ส่างซา ร.ด.ก็ไม่ได้เรียนแล้วเพราะสอบตกซ้ำชั้น สูบบุหรี่มากขึ้นวันละ 3 มวนบาท เหงาว้าเหว่เดียวดาย ได้ที่อยู่ (อ๋อย) น้องเพื่อนมาเรียนอยู่ที่ฝั่งธนฯ อาศัยบ้านญาติที่เขตหนองแขมอยู่ ก็เขียนจดหมายคุยกัน เล่าเรื่องความเหงา เดียวดาย ให้อ๋อยรู้ คุยกันนานเข้าก็ไปหาที่บ้านญาติ ในวันเสาร์อาทิตย์ ไปเช้าวันเสาร์ กิน นอน ค้างคืนที่นั่นด้วย วันอาทิตย์ก็นั่งรถเมล์กลับบางซื่อ เดือนตุลาคม มีนักศึกษาทำการประท้วงรัฐบาลกัน นักเรียนเต็มไปหมดเลย เต็มท้องสนามหลวง จากการเล่าของเพื่อนที่ไปมา ฉันไม่ได้ไปพราะกลัวเข้าบ้านไม่ได้ ต้องเข้าให้ตรงเวลาไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครมาเปิดประตูให้ (ในบ้านนี้ มีปู่มาคอยเลี้ยงหลานอีกคน) ปู่จะนอนเร็ว 2 ทุ่มก็นอนกับหลานๆแล้วและจะไม่ลงมาอีก
เหตุการณ์บ้านเมืองแย่ลงทุกวัน จนวันที่ 17 – 18 โรงเรียนปิดการเรียนกะทันหัน ฉันก็นั่งรถไฟกลับไปท่าลาน ตอนนั้นพ่อย้ายบ้านไปอยู่แก่งคอยแล้ว ไปพักค้างบ้านดา ออด อ๋อย ก็ย้ายบ้านไปอยู่หมู่บ้านโรงเหล็กที่วัดม่วงน้อย ไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก พอเดินไปมาได้ ดาทำงานแล้วแยกบ้านแล้ว ออดก็ทำงานแล้วแยกบ้านแล้ว ก็เหลือแต่อ๋อยกับน้องชาย กินนอนอยู่บ้านนี้จนสิ้นเดือนก็กลับไปเรียน ผลการเรียนซ้ำปี 2 นี้ ก็ยังสอบตกอีก ทีนี้ละเขว้งขว้างเลย ไม่อยากกลับบ้าน แล้วสิ พอรู้ผลสอบปี2ว่าตกอีก ก็ไปบ้านอ๋อยก่อนยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ไม่อยากกลับเข้าบ้าน กลัวพ่อแม่จะว่าเอา

ปี 2517 ปลายเดือนมีนาคม มีการเปิดสอบเข้าหลายๆ ที่ ก็ลองไปสมัครสอบเข้าวิทยาลัยครูพระนคร บางเขนบังเอิญสอบติด เหตุที่ไปสอบที่นี่เพราะเมื่อก่อนมีอาจารย์ฝึกสอนจาก วิทยาวิชาการศึกษา (ว.ศ. บางเขน) มาฝึกสอนที่รงเรียนวัดเขมาฯ สอบติดแล้วก็ไปขอสตางค์พ่อแม่ เข้ารายงานตัว ซื้อเสื้อผ้า หาเช่าหอพักแถวซอยสุขสันต์ (ติดวัดพระศรีมหาธาตุวรวิหารย์ บางเขน)
ตั้งแต่ไปอาศัยบ้านอาเย็น(พ่ออ๋อย) แกชวนกินเหล้าทุกวันเพราะแกติดเหล้าเอามากๆ ก็กินกับแกไปนิดๆหน่อยๆ สมัยอยู่กับพ่อแม่ก็มีผู้ใหญ่ส่งให้อยู่เรื่อยตั้งแต่เด็กมาแล้ว ไปเรียนที่พระนครได้สตางค์เดือนละ 300.- ค่าหอต่างหาก ค่าหอจำไม่ได้แน่ว่าเดือนละเท่าไร แต่ก็ไม่สูงมากนัก การเรียนก็ไม่ยากเย็นอะไรเคยเรียนมาตั้งแต่สมัย ม.ศ. 4  2ปีแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยเข้าห้องเรียน แอบกินแต่เหล้า ในวิทยาลัยนั้นแหละ เหล้าแม่โขงขวดแบนราคา สิบ 17 บาท ขวดกลม 35 บาท เรียนๆไปก็มีเพื่อนสนิท 2 คนคือ ตุ้ม (อิทธิศักดิ์) ไก่ (อัมรินทร์) เณร (สงบ), สิณีนาฏ (แป้ว) เทอมปลายเรียนๆไปมีคนไม่เข้าใจวิชาเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ ฉันก็นัดเสาร์อาทิย์มาช่วยติวให้ ตลอดมาฉันกจะจิบเหล้าตลอด ซื้อเหน็บกระเป๋าหลังไว้ เทอมปลายนี้ได้รู้จัก “ตุ่ม (FB Toom Sunee Kodiya Ju ฮัจญะห์คอดิเยาะห์)”
สอบปลายภาคเสร็จฉันก็กลับไปแก่งคอย อยู่มาวันหนึ่ง อดีตพี่สะใภ้ "พี่สุ" และเพื่อน "เตือน" จากกำแพงเพชรมาที่บ้านแก่งคอย ไม่รู้ รู้จักได้อย่างไร ที่บ้านก็ไม่มีพี่ๆ น้องๆ อยู่เลย มีแต่พ่อแม่ พวกเขามาบอกกับแม่ว่าจะไปอำเภอลานสัก อุทัยธานี ไปตามหาญาติ มาพักได้ 2 วันก็ชวนฉันไปเป็นเพื่อน ไปไม่ถูกต้องถามทางเขาไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านพักที่ทำการชลประทาน ลานสักจนได้ ถึงแล้วแต่ไม่เจอญาติ เขาพึ่งเข้าเมืองไปเมื่อวานกว่าจะกลับอีก 2 – 3 วัน เพื่อนพี่สะใภ้ก็คอย คอยได้วันเดียวก็ตัดสินใจกลับเพราะเกรงใจฉัน

ปี 2518  เทอมต้นปี 2 วิทยาครูพระนคร บางเขน ปลายเทอมต้นไปเที่ยวโรงเรียนไทยวิจิตรศิลป์กับตุ่ม (FB Toom Sunee Kodiya Ju ฮัจญะห์คอดิเยาะห์) ไปช่วยทำงานเขียนแบบ กับติวภาษาอังกฤษด้วยนิดหน่อย ต่อๆมา เพื่อนๆ ตุ่ม(FB Toom Sunee Kodiya Ju ฮัจญะห์) ก็ยกโขยงมาให้ช่วยทำงานเขียนแบบให้เกือบทั้งห้อง ก็ดีเหมือนกันทำแลกค่าเหล้าได้หลายอยู่ อ้อ..มีเรื่องไม่ดีคือ ไก่ เพื่อนซี้คะแนนเฉลี่ยไม่ถึง 2.00 โดนรีไทร์ ไปเรียนช่างกลไทยสุริยะ เทอมต้นผ่านไป ในระหว่างเทอมต้นนั้นไปเที่ยวห้าง “ราชดำริอาเขต” ตรงข้ามไปฝั่งโน้นเป็นห้าง “ไทย-ไดมารู” ญี่ปุ่นมาร่วมหุ้นกับไทย เป็นแห่งแรกแห่งเดียวสมัยนั้นที่มี บันไดเลื่อน ข้างๆไดมารู มีโรงเรียนการช่างอินทราชัย (ฝั่งเซ็นทรัลเวิร์ลดปัจจุบัน) สยามเซ็นเตอร์ก็มีมาตั้งแต่ 2516 มีโรงหนังสยาม ลิโด้ สกาล่า

ห้างดังสำหรับวัยรุ่นระดับกลาง ถ้าหรูๆ ก็ต้องไปสยามเซ็นเตอร์โน่น

ห้างแรกของไทยที่มีบันไดเลื่อน อยู่ตรงข้ามราชดำริอาเขต


เทอมปลายฉัน ตุ้ม และเพื่อนๆอีกหลายคนได้ไปที่เดียวกันคือ โรงเรียนคันนายาว (ธารินเจริญสงเคราะห์) ซอยเสรีไทย 50 เขตคันนายาว กทม.
เทอมนี้ย้ายไปอยู่บ้าน ”ตุ้ม อิทธิศักดิ์ ธุวะสินธุ์” ที่ซอยนวลน้อย ซอยนวลจิต4 แขวงคลองตัน ป๋ากับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเห็นเรียนที่เดียวกัน อาศัยอยู่ก็ไม่ได้ช่วยออกค่าอะไรเลย มีแต่เก็บกวาดเข็ดถูบ้าน ล้างจาน แต่เมื่อเข้ามาอยู่บ้านตุ้มแล้ว กินเหล้าเข้ามาไม่ได้ ก็ห่างๆไปในการดื่มช่วงเย็น แต่ก็ไม่ได้ผล อดกินไม่ได้ แอบกลับเข้าบ้านดึกหน่อย 3 – 4 ทุ่ม ป๋ากับแม่ขึ้นนอนแล้ว กลับดึกมากก็เกรงใจตุ้ม ตุ้มก็อยู่เย็นค่ำไปด้วย เพราะเข้าบ้านก็ไม่มีอะไรทำ พอดีทางโรงเรียนมีห้องพักเป็นเพิงกว้างๆ มีข้างฝาไม้ ประตูไม้ หน้าต่างไม้ ก็มีคนมาอยู่ด้วย 2 -3 คน
ฉันได้เข้าสอนประจำชั้น ประถม 4 จำชื่อครูพี่เลี้ยงไม่ได้แล้ว (ต้องขออภัยครุพี่เลี้ยงด้วยครับ) ครูใหญ่ชือ นายอนันต์ เฟื่องลิขิต ตุ่ม (FB Toom Sunee Kodiya Ju ฮัจญะห์คอดิเยาะห์) ตามไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ หลังเลิกเรียน มีคนรู้จักด้วยชื่อพี่นะห์ (อะมีนะห์) สอนชั้นประถม 2 การสอนของฉันก็เป็นไปตามวิชาการ คือ มีบันทึกเตรียมการสอน เตรียมอุปกรณ์การสอน แต่วตัวตามสไตล์ของฉันคือกางเกงยีนส์  LEE Rider ตัวละ 400.- (กางเกงยีนส์ทุกยี่ห้อตัวละ 400.-) รองเท้าสปอร์ตขาวยี่ห้อ “อะดีด๊าส adidas”  คาดแถบแดง 3 แถบ เสื้อแขนสั้นสีกากี (ไม่ใช่เครื่องแบบ ตัดจากร้าน) “ลา เมซ็อง La Mason” ประตูน้ำ
เป็นอย่างที่เคยเป็น คือ ดื่มกรึ๊บ2กรึ๊บก่อนไปสอน สอนได้ดีไม่มีปัญหาอะไร ใช้เทคนิคการสอนด้วยการชวนให้เด็กตอบ ช่วยกันถาม ออกมาเขียนคำตอบบนกระดานดำ เป็นที่ชื่นชอบของนักเรียน ผลการสอบดูดีไม่มีใครตก มีเด็กอยู่คนนึงมีปัญหาทางบ้าน การเรียนจึงมีปัญหา ก็จัดการอบรมให้กำลังใจไปผลก็ตอบรับออกมาดี ปลายเทอมสอบเสร็จ ตรวจข้อสอบส่งคะแนนพี่เลี้ยง ก็อำลากัน กลับไปพักที่บ้านตุ้มต่ออีก กลับไปรับผลการฝึกสอนแล้วขอจบ สิ้นเดือนมีนาคม รับใบสุทธิ ไปสมัครสอบ ครูช่างวิชาเอกอุตสาหกรรมศิลป์ หลักสูตร 4 ปี ปริญญา ค.บ. แต่สอบไม่ติด เพื่อนๆ ชวนไปเรียนรามฯ เพราะไปเรียนกันหลายคน ต่ฉันตัดสินใจไม่เรียนที่ไหน ออกหางานทำ
ช่วงอาศัยอยู่บ้านตุ้มนั้นวันหยุดไม่ได้ไปไหน อยู่แต่กับบ้าน เคยไปนั่งกินอาหารตามร้านมุสลิมะห์ขาย เขาจะมีป้ายภาษาอาหรับแขวนกันไว้ที่เสา ที่ฝาบ้าน เคยถามตุ้มว่าอ่านว่าอะไร เห็นตัวหนังสือสวยดี ตุ้มบอกอ่านไปได้ ยังนึกตำหนิในใจว่าเป็นมุสลิมทำไมอ่านไม่ได้ อยู่บ้านแม่ตุ้มเห็นป๋าอ่านหนังสือก็แอบหยิบมาอ่านบ้าง พออ่านไปอ่านมาชักจะตะหงิดๆ ในใจว่าศาสนาอะไรว๊ะ ด่าแต่พวกคนอื่นว่ากราบไหว้บูชาเจว็ด ฉันก็เคืองใจว่าทำไมศาสนาเขาจึงตำหนิแต่คนศาสนาอื่น ให้นับถือพระเจ้าองค์เดียว อ่านๆ ไปหลายเล่มก็ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าของพวกเขาคือใคร เคารพนับถืออะไร เพราะฉันเองก็เป็นคนเข้าวัดเข้าวามาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เด็ก
อ่านหนังสือค้นหาพระเจ้าของอิสลามไปเรื่อยๆ และอยากเรียนรู้ภาษาอาหรับของเขา ก็ขอร้องให้ต้อยน้องชายตุ้มว่าช่วยสอนเขียนภาษาอาหรับหน่อยสิ ต้อยเรียนอยู่ที่อิสลามวิทยาลัย ทุ่งครุโน้น ก็ฝึกอ่าน เขียนมาตลอดที่อยู่บ้านตุ้ม จนอ่านและ เขียนสลับตัวอักษรได้จำได้หมดแล้ว เขียนฟาติฮะห์เป็นภาษาอาหรับได้แล้ว  แต่ก็ยังไม่ได้ศรัทธาอิสลามแต่อย่างใด ปิดเทอมจึงกลับบ้านแก่งคอย เขียนภาษาอาหรับได้ทั้งๆ เมาเหล้าอยู่อย่างนั้น อ่านหนังสือบ้านตุ้มไปหลายเล่มเหมือนกับรู้ว่าศาสนาเขาสอนให้เคารพบูชาพระเจ้าองค์เดียว ต้องละหมาด ถือบวช ยังเคยถือบวชกับป๋าตุ้มเลย สมัยนั้นเดือนบวชตรงกับหน้าหนาว จะตื่นตี 3 มากินข้าวหน๊าวหนาว พอสรุปได้ว่า อ่านหนังสือศาสนาอิสลามและเขียนภาษาอาหรับได้เยอะทั้ง 2 อย่างแล้ว พอที่จะรู้เรื่องศาสนาเขาแล้ว แต่มันไม่เกิดความอิหม่าน ศรัทธาอย่างถ่องแท้ และไม่ได้สอบถามอะไรจากป๋าเลย มันไม่ได้เป็นความผิดแต่ประการใดที่อ่านเขียนภาษาอาหรับได้บ้างขณะที่ยังไม่ได้ศรัทธาในอิสลาม เหมือนๆ กับพวกคริสต์และยิวที่รู้ภาษาอาหรับและรู้จักอัลลอฮ์และรู้จักเราะซู้ล

โรงเรียนคันนายาว เขตคันนายาว เสรีไทย 50, เขตคันนายาว
กทม.10230  ตรงข้ามทางเข้าสวนสยาม จุดโคออร์ดิเนต 
13°47'34.9"N 100°41'42.2"E  13.793034, 100.695064


ชุดที่ไปฝึกสอนที่คันนายาวปี 2518 ด้วยกัน


ปี 2519 จบจากวิทยาลัยครูพระนครออกมา เดือนมีนาคมปลายๆเดือน สอบเข้าอุตสาหกรรมศิลป์ไม่ติด เมษายน ไปเข้ารับการเกณฑ์ทหารที่อำเภอบ้านหมอ ผลปรากฏว่า ไม่ติด ได้ใบดำ ไปๆ มาๆ บ้านตุ้มอยู่เรื่อยๆ พอดีแม่เข้าผ่าตัดลำไส้ใหญ่ เพราะเป็นแผลกว้าง ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ไปเยี่ยมแม่บ่อยๆ เตียงช้างๆ มีหญิงคนจีนก็พักฟื้นอยู่เตียงติดกัน แม่คุยๆ กันกับลูกสาวที่มาเยี่ยมอาม้า คุยกันเรื่องยังไม่มีงานทำเลย เธอก็ชวนไปทำที่บ้านเธอ ธุระกิจขนส่งสินค้าทั่วไป ไปจังหวัดอุดรธานี ฉันก็ตกลงจะทำเพราะไม่อยากเลือกงานทำอะไรก็ได้ที่ได้เงิน พอได้ทำงานก็เกรงใจแม่กับป๋า ก็เลยออกจากบ้านแม่ป๋ามาอาศัยกับน้าสาวแท้ๆ 2 คน น้าคนก่อนสุดท้องชื่อน้าเพ็ญ ทำงานโรงเรียนอะไรจำไม่ได้แถวๆ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย น้าคนเล็กยังเรียนเทคนิคกรุงเทพ (ทุ่งมหาเมฆ) เช่าบ้านอยู่แถวลาดพร้าว ซอยมหาดไทย 1 ค่าเช่าเท่าไรไม่รู้เพราะไม่คยช่วยออกเลย แต่คงจะไม่กี่ร้อย ค่าครองชีพสมัยนั้นก็ยังพออยู่ได้ ค่ารถเมล์รอบในเมือง 75 สตางค์ ออกเขตเทศบาลแล้วอีก 50 สตางค์ รวม 1 เที่ยวที่ไปทำงานที่หัวลำโพง ค่ารถ 2 ต่อกับ 1 ระยะนอกเมือง 2 บาท ไปกลับก็เท่ากับ 4 บาท
ทำงานก็ไม่มีอะไรมาก หนักหนา เวลามีพัสดุมาส่งก็ชั่งน้ำหนัก แบกเข้าไปเก็บกองแยกประเภท มีพัสดุมาส่งทีก็เหนื่อยที มีอาหารเช้าเลี้ยงข้าวต้ม แต่มาช้าไม่ค่อยเหลืออะไร เพราะกว่าจะต่อรถมาจากมหาดไทย 1 กลางวันก็มีข้าวเลี้ยง ได้เงินเดือนเท่าไรจำไม่ได้แล้ว แต่ไม่มากหรอก พอมีกินไปวันๆ ทำงานไปได้สักปีเห็นจะได้ ก็ลาออก
อยู่บ้านน้าไปวันๆ ก็ไปสมัครงานที่โรงเรียนสันติศึกษา ถนนนางลิ้นจี่ เจ้าของเป็นคริสต์ เปิดสอนประถมต้น มีนักเรียนและครูไม่มากนัก ตกลงมาสเตอร์เขารับเอาไว้แต่ไม่ได้ทำหน้าที่สอนหนังสือ ให้ทำผลิตอุปกรณ์การเรียนต่างๆ เข้างานตามสบายประมาณ 8 น. เลิกงานเย็น 4.00 น. ไม่อยากกลับบ้านนั่งเอ้อระเหย จิบเหล้าไปเรื่อยเปื่อย ค่ำๆ ค่อยขยับกลับมหาดไทย อยู่เย็น ๆ นานๆ เข้าคนขับรถโรงเรียนก็แนะนำให้รู้จักครูผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อพี่เบน (เบญจวรรณ) สอนวิทยาศาสตร์ นอนพักอยู่บนอาคารเรียน มีห้องพักครูว่างอยู่ห้องหนึ่งมาสเตอร์ผู้อำนวยการจึงให้เข้าพักที่ห้องพักครูว่างนั้น คุยๆ กันไปมา สามีเก่าเขารู้ข่าวเข้าก็มาหาพี่เบน และต่อว่าพี่เบน และฉันด้วยที่ไปยุ่งเกี่ยวกับพี่เบน พี่เบนก็เถียงว่าทิ้งไปตั้งนานแล้วยังจะหวนกลับคืนมาทำเป็นเจ้าของอีก พี่เบนยืนกรานว่าไม่มีอะไรกัน เพียงแต่อยู่คุยกันดึกหน่อยเท่านั้น พี่เบนก็ให้ฉันออกไปนอกห้อง (คุยกันในห้องเรียน) ฉันก็เลยกลับบ้านมหาดไทย วันรุ่งขึ้นมาโรงเรียนปกติ ทำงานปกติ เย็นมาพี่เบนบอกว่าไล่ไปแล้ว หมาหวงก้าง คงไม่กล้ามายุ่งกับพี่อีกหรอก ก็อยู่คุยกันจน 3 ทุ่ม (คุยกันหน้าระเบียงห้องเรียน อาจารย์มาสเตอร์ไม่ได้อยู่ที่นี่ บ้านอยู่ที่อื่น) คุยๆ กันอยู่พี่เบนไปเข้าห้องน้ำ กลับออกมาบอกว่าไฟไม่ติด ให้ช่วยไปดูให้หน่อย ฉันก็เข้าไปดูให้ตามประสาคนมีน้ำใจต่อกัน ฝ้าเพดานที่ติดหลอดไฟอยู่สูงพอสมควร ต้องใช้เก้าอี้ 2 ตัว ต่อกัน เปลี่ยนเสร็จก็ลงมาล้างมือ คุยกันพักหนึ่งก็ลากลับมหาดไทย

ปี 2520  ปีนี้ตุ่ม (FB Toom Sunee Kodiya Ju ฮัจญะห์คอดิเยาะห์) จบจากไทยวิจิตรศิลป์ ฉันออกจากงานที่โรงเรียนสันติศึกษาไม่ได้พบกับพี่เบนอีกเลย ก็อยู่บ้านน้าเขว้งขว้างอยู่เป็นเดือน น้าคนเล็กฝากงานให้ไปทำที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท 11 ตำแหน่ง Porter หรือ Bell Boy ทำที่โรงแรมนี้ได้เงินเดือนน้อยแต่ได้ “ทิปส์” พอสมควรเชียวแหละ ค่าเงินบาทตอนนั้นต่อดอลล่าร์ 20.- วันไหนที่เรียกว่าไม่ได้เลยคือได้ 40.-บาท ซึ่งค่ารถค่าข้าว 40 บาทนี้ก็พออยู่ได้แล้ว ทำงานที่นี่ได้ของเหลือทิ้งจากแขกบ่อย แชมพู น้ำหอม บุหรี่ เหล้า จากแขกญี่ปุ่นก็จะได้บะหมี่ถ้วยมีกุ้งมีปลาหมึกจริงๆ ได้ทิปส์เหรียญ 100 เยน เป็นกำๆ เลย ตำแหน่งปอร์เตอร์นี้เป็นตำแหน่งที่พนักงานสาวแก่แม่ม้ายในโรงแรมจ้องจับจองเป็นเจ้าของ (มารู้ภายหลังจากรุ่นพี่บอกให้ระวังตัว) ทำงานได้เงินคล่องได้เงินมากแต่ไม่ได้คิดเก็บเลยกินเหล้าไปซะเยอะ เรื่องที่รุ่นพี่เตือนนั้นสายไปแล้ว โดนรูมเหมด (room maid) คนหนึ่ง ดักคอยพูดหยอกเย้าทุกครั้งที่เจอ หลอนรู้ว่ามีแขกเข้าพักเพราะแขกจะเดินคุยกันทำให้ได้ยินเสียง ซึ่งมันเงียบมาก พูดไปคุยมาเอ้ออ้า ฉันก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะไม่รู้ประสาภาษาที่สื่อ ก็ใช้ห้องที่กำลังทำสะอาดอยู่นั่นละเป็นที่ตอบสนองกิเลสที่รุมเล้าตามประสา แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้คิดอะไร เธอก็ทำอย่างนี้บ่อยๆ จนนานเข้าเอาจริงจังมากขึ้น ก็ชวนไปบ้านไปช่อง ฉันก็ไม่ได้คิดอะไร แต่หล่อนคิดน่ะสิ พึ่งไปรู้ว่าเป็นแม่ม้ายลูกติด 2 คน ยังเล็กอยู่ ป.1 ป3. พ่อเป็นตำรวจเกษียณแล้ว ทั้งบ้านเธอให้การตอนรับอย่างดี จัดห้องหับไว้ให้ เรียกหลานเข้านอนกับตา ยาย อยู่ๆไปชักเอาจริงมากขึ้นๆ ฉันยังไม่อยากมีครอบครัวจริงจังในวันนี้ จะหาทางหลบหลีกอย่างไรหว่า คิดหาไม่ถูก จนเกือบๆ สิ้นปี มีบริษัทรับคนงานไปซาอุฯ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ปาสต์ปอร์ตที่เสียตังค์ทำมาก็จ่ายคืน เทียวไปเทียวมาระหว่างบริษัท “ดิรก” กับโรงแรม อยู่หลายเที่ยวกว่าจะรู้เรื่องว่าสมัครแล้วได้ไปไหม และเมื่อไร ต้นๆ ปี 2521

แคมป์ไม่มีชื่อ ไม่มีป้ายบอกบริษัทอะไรรู้แต่ว่าเป็นเมือง รัสอัลมิช๊าบ 
อำเภอคัฟจี Khafji (الخفجي) มีท่าเรือน้ำลึกปานกลาง


ข้อความสลักหลังภาพ Porta Camp คือชื่อตู้นอนของพวกคนงาน A 26-2 
คือ แถวเอ 26 ห้อง 2 Ras –Al Mish’ab คือชื่อตำบล

 ภาพฟิล์ม Polariod Kodak ค่าจ้างถ่ายรูปละ 5 ริยาล

ข้อความสลักหลังภาพ 24 มีนาคม พ.ศ.2521 ตลาดเมืองอัลคุบารฺ (1978)


ปี 2521  ในที่สุดก็ได้ข่าวกำหนดวันบินแล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายที่ว่าไม่เสียนั้น แต่สุดท้ายมาเสียค่าเสื้อยีนส์ที่ปักตราช้างเป็นตราบริษัท ตัวละ 1000.- สมัยนั้นพันนึงนี้แพงมากๆ มันก็เป็นกลอุบายหาทางเอาเงินจากคนสมัครงานอย่างเสียมิได้ เพราะมาเก็บเอาวันจะบินแล้ว เห็นตั๋วเครื่องบินแล้ว วันบินไปสายแอรือินเดีย แวะพักบอมเบ (สมัยนี้เรียก “มุมไบ”) หนึ่งคืน นั่รถชมเมืองจากการบริการของสายการบินไม่เสียสตางค์ เห็นแต่ขอทาน บ้านเมืองข้างถนนก็เก่าทรุดโทรม วันรุ่งขึ้นสายๆ ก็บินต่อไปบาห์เรน จากบะห์เรนขึ้นเครื่องเล็กๆ ปีกหมุน มีน้ำผลไม้กล่อง ยู เอช ที แจก พึ่งเคยเห็นนี่แหละว่าน้ำผลไม้กล่อง บ้านเรามีแต่ใส่ขวด ลงสนามบินดะห์ราน ก็มีคนมารับ ไปกันหลายคนพวกปอร์ตเตอร์ก็ประมาณ 7 – 8 คนแล้ว และคนอื่นๆ อีก 7 – 8 คนเหมือนกัน ไปถึงบริษัท ทำทะเบียนทำโน่นทำนี่ ไม่รู้ว่าอะไรนัก บริษัทที่ว่าจ้างนี้คือ บริษัท ตามิมิ แอนด์ ฟุอ๊าด บ่ายแก่แล้วขึ้นรถปิคอัพไปบนถนนที่มองเห็นแต่ทะเลทราย นั่งรถไปประมาณ 270 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเศษ ก็ถึงแคมป์ที่พัก ได้รับรู้ว่าชื่อเมือง รัส อัล มิช๊าบ Ras Al Mishab (راس المشاب ) ที่พักเป็นตู้คอนเทนเนอร์ยาวๆ ใหญ่กว่าที่เมืองไทยหน่อย มีห้องเล็กๆ พักกันห้องละ 2 คน ใกล้หัวเมือง คัฟจี Khafji (الخفجي) ใกล้พรมอดนคูเวต
งานนี้ตามข้อตกลงเรียกตำแหน่งนี้ว่า เฮ้าส์บอย House Boy คนทำสะอาดห้องพัก เหมือนๆกับงานรูมเมดในโรงแรม เก็บผ้าปูที่นอนเก่าออก ปูที่นอนใหม่เข้าไป ทำสะอาดห้องน้ำ ดูดพรม วันๆ หนึ่งนั้นไม่ได้ทำมากหลายห้อง มีเวลาว่างเยอะ อาหารการกินก็ดีมาก เป็นอาหารฝรั่งทุกมื้อ สเต็ก นม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ คุกกี้ เค็ก ไข่ดาว เบค่อน ฯลฯ ผลไม้สดที่นี่หยิบตุนออกไปนอกแคนทีนได้ (Canteen โรงอาหารเล็กๆ จุได้คราวละ30 –40คนที่มีทำงานอยู่) เวลาฝรั่งทุกคนขับรถสวนกับเรามันจะยกมือขึ้นมาเหมือนกับห้ามนั่นแหละ
คนงานอีกชาติคือเกาหลีไม่ได้ทำร่วมกับเรา ไม่รู้ไปทำที่ไหน แยกโซนที่พัก โซนแคนทีนกัน คนไทยมี 7-8คนกินแคนทีนฝรั่ง ทำงานไปสักพักก็รู้จักพวกเกาหลีบ้าง พอสนิทกันเกาหลีมักจะเอากิมจิ (ผักกาดดอง) เอาโสม มาให้กิน ในรูปข้างล่าง John Kim ชอบมาคุยที่ห้อง ห้องนี้ฉันอยู่กับต้อม  Kim มาทุกวันแล้วมาสอนร้องเพลง “อาริรัง”
“Arirang, Arirang, Arariyo, Arirang gogaero neomeoganda, Nareul beorigo gasineun nimeun
Simnido motgaseo balbyeongnanda.
“อ่าริหรั่ง อ้า ริหรั่งอ้า ราริโย,  อ่าริหรั่ง โค๊ เค โหร่ นัม อึ๊ง กันตา,  นา รือ โพ โอ๋ ริโก, ก่า สิ หนีน นิม มืน ซิม นิโต โมต กาซี โอ๊ บาบิ โย อึ๊ง กันตา ”
กลางๆ ปี ย้ายที่ทำงานไปทำในแคมป์ Aramco สาเหตุมาจาก ขณะทำงาน ทำความสะอาดห้องพักพวกเจ้านาย แล้วเลือดริดสีดวงมันไหลออกมาเหนอะหนะที่ก้น ก็เข้าไปล้างในห้องน้ำ บังเอิญเป็นห้องเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ (ซึ่งมารู้ภายหลังว่าเป็นนายทหารใหญ่ ที่แคมป์นี้เป็นฐานทหารอเมริกา ลับๆ) มันกลับมาห้องมาเห็นใช้ห้องน้ำมัน เพราะฉันถอดกางเกงไว้ข้างนอก

รูปถ่ายตอนจะกินข้าวในแคมป์อะรามโก้ ปี 2521 ในจานมีข้าวสวย เนื้อสเต็ก น้ำซุบ ผัก ผลไม้ นม น้ำส้ม เป็นการบริการตนเอง เข้ามาก็หยิบถาด เดินลากถาดมาบนราวสเตนเลส ถึงหม้อข้าวก็มีคนตักให้มากน้อยตามต้องการ ลากถาดต่อมารับกับข้าว ไก่ทอด ผัดผักใส่เนื้อ เนื้อสเต็ก สะตูเนื้อ เนื้อแกะทอด ฯลฯ ลากถาดต่อมารับน้ำซุบ ลากถาดต่อมาตักผักดิบใส่จานที่มีให้ข้างถาดผัก(มีพริกสดเม็ดใหญ่บางวันเผ็ดบางวันไม่เผ็ดเลย) หยิบผลไม้ใส่ถาด หยิบช้อน ซ่อม มีด ลากถาดต่อมาหยิบแก้วใส่นม หยิบแก้วใส่น้ำผลไม้ เดินไปหาที่นั่งเหลือเฟือ บนโต๊ะมีน้ำซ้อสปรุงรส KiKo Man, Ketchub, เกลือ, พริกไท, น้ำตาล, กระดาษเช็ดปาก กินอิ่มก็เดินออกไปได้เลยมีพนักงานมาเก็บถาดเก็บจาน


กลางๆปีย้ายที่ทำงานไปทำในแคมป์ Aramco  ارامكو [الشريكة العربية واميركي ],  ตำบล Abqiq (ابقيق) แขวง  Dhahran (ظهران), East County (مقاطعة الشرق) ในตำแหน่งซ่อมบำรุง (Maintenace صيانة) ห้องนอนเป็น Portable House มีแอร์วินโดว์ นอนห้องละ 4 คนเตียง 2 ชั้น หลังหนึ่งมี 40 ห้อง อาหารฝรั่งทุกมื้อ ผลไม้ทุกมื้อ นม เวลาพักเบรก 15 นาทีจะมีน้ำผลเทียม ชา กาแฟ คุกกี้ ไว้บริการบน “เรคเรชั่น ฮอลล์” มีโต๊ะสนุ๊ก โต๊ะพูล โต๊ะพูลคือโต๊ะเล็กกว่าสนุ๊กและลูกจะมีสีลายคาดเป็นแถบ ยิงให้ลงหลุมตามหมายเลข หมากรุกฝรั่ง เกมส์กระดาน
เข้างาน 8.00 น. 10.00น. เบรค (กินน้ำชากาแฟ) 15นาที 12.00 น. กินข้างเที่ยง 13.00 น. เข้างาน 15.00 น.เบรค 15นาที  เงินออกทุกสิ้นเดือน  วันศุกร์แรกของเดือนจะเข้าเมืองอัลโคบัร اَلْخَبَارَ Al Khobar ส่งดราฟท์ ปกติทุกแห่งจะหยุดวันศุกร์ แต่ร้านโรงที่นี่เขาเปิดบริการลูกค้า ขายดีมาก ลูกค้าเยอะเพราะทำแต่งาน พอวันหยุดทีก็เดินดูสินค้า จับจ่ายซื้อข้าวของกัน ร้านแลกเงินเล็กๆ ชื่อ อัลราจฮี اَلْرَاجِّحِى Al Rajhi เปิดบริการซื้อดราฟท์ส่งกลับเมืองไทย แล้วก็เดินโต๋เต๋รอบเมือง
ขณะทำงานอยู่ ช่วงบ่าย 3 โมงกว่า พวกคนอินเดีย ปากีสถาน จะไปผละงานไปมุซอลลาฮิ เพราะเขาอะซาน (เมื่อก่อนนั้นจะรู้จักแต่ว่า พวกเขาตะโกนอะไรกันทุกวัน วันละครั้ง) เขาไปกันหลายๆ ครั้งเข้า ก็ตามไปดูเขา คนงานปากีสถานที่ทำอยู่กับเรา ไปเป็นผู้นำสวด (ละหมาด)  ก็เกิดความสงสัยว่าทำไมไอ้เพื่อนที่ทำอยู่บนออฟฟิส ทำไมปล่อยให้กรรมกรมานำละหมาด  สอบถามเพื่อนที่ชื่อ อะห์หมัดชาวอิยิปต์ ว่าทำไมไม่ได้เป็นคนนำสวด
เขาตอบว่าคนที่มีความรู้เรื่อง อัลกุรอานมากกว่าและมีความรู้เรื่องฮะดีษมากกว่าจะได้เป็นคนนำสวด การตั้งแถวละหมาดก็ใครมาก่อนได้อยู่หน้า ใครมาทีหลังก็อยู่หลัง แม้แต่พระราชามาทีหลังก็ต้องต่อแถวหลัง พอได้ยินว่าเขาไม่แบ่งชนชั้นวรรณะกัน ก็ถึงบางอ้อว่า เออ ดีนะ ที่ไม่มีชนชั้นวรรณะ
เมื่อก่อนนี้อาศัยอยู่ที่บ้านตุ้มแล้วอ่านหนังสืออิสลามของป๋า พบข้อความว่า อิสลามไม่บูชาเจว็ด ตำหนิคนพุทธว่าเคารพบูชารูปปั้นรูปเจว็ด ฉันก็เกิดความสงสัยว่า ในเมื่ออิสลามตำหนิพุทธอย่างนี้ แล้วอิสลามเป็นอย่างไร ก็หาอ่านหนังสืออิสลามค้นหานิยามอิสลาม ค้นหาพระเจ้าอิสลามแต่ ก็ค้นยังไม่พบเสียที
เวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่เพื่อนๆ บอกว่าอิสลามไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ แล้วฉันเกิดความศรัทธาในอิสลามได้เลยในขณะนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ต้องถามหาพระเจ้าเลยว่าเป็นอย่างไร ฉันศรัทธาในนิยามอิสลามว่าด้วยเรื่องความเสมอภาคของมนุษย์ว่าไม่มีชนชั้นวรรณะ และหลังจากที่ศรัทธาในอิสลามแล้วก็ศึกษาค้นหา สัจธรรมอิสลามต่อไปเรื่อยๆ มันมีคำตอบไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งค้นหา ยิ่งพบสัจธรรมลึกลงมากขึ้น ไม่ได้สงสัยอีกเลยว่าอัลลอฮ์เป็นอย่างไร
ก็ขอเพื่อนที่เป็นซีเรีย อิยิปต์ ซาอุดิ ว่าขอนับถือศาสนาอิสลามด้วยคน พวกเพื่อนๆ ก็ยังยืนท่าทีไว้ว่า อย่าพึ่งใจร้อน ทดลองมาเข้าละหมาด อาบน้ำละหมาด และลองใช้ชีวิตแบบอิสลามดูก่อน ทดลองดูด้วยการตามเข้าไปละหมาดกับเขาด้วย ทำอะไรไม่เป็นก็เหลือบมองดูคนข้างๆ เอา
หลายเดือนต่อมา พวกเพื่อนๆ ก็ชวนเข้าเมือง ดัมมั่ม Dhammam (الدمام)ไม่รู้ว่าไปทำไม เมื่อถึงมัสยิดญุมมะอะห์แล้วก็พาเดินเข้าไป ละหมาด พอละหมาดเสร็จก็พาเดินไปข้างหน้าหาอิหม่าม นั่งล้อมวงกัน เพื่อนๆพูดอะไรกับอิหม่ามอยู่สักครู่หนึ่ง อิหม่ามก็หันมาทางเราแล้ว ยื่นมือมาจับ เราก็ไม่รู้หรอกว่าจับทำไม พออิหม่ามจับมือแล้วก็พูดว่า
“ให้เรากล่าวชะฮาดะตัยน์ “  اشهدان لا اله الله واشهد ان محمد رسول الله
พวกเพื่อนๆ เคยสอนๆมาบ้างแล้ว เราก็ว่าได้ไม่ตะกุกตะกัก แล้วอิหม่ามก็ถามว่ามีชื่อหรือยัง เราก็ตอบว่ามีแล้ว ชื่อ อิสมาอีล พอเสร็จจากชะฮาดะตัยน์อิกม่ามก็ลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังว่าอะไรไม่รู้กับคนที่ยังอยู่กันในมัสยิด ผู้คนในมัสยิดหลายคนเดินมาหาแล้ววางเงินบนหน้าตักเราคนละ 10 – 20 ริยาล แล้วก็ลูบหัวและจับมือ ไอ้เราก็รู้สึกไม่ดีที่มาลูบหัว เราคิดว่าเราโตแล้วไม่ใช่เด็กจะมาลูบหัวทำไม เพื่อนๆ บอกว่าเขายินดีกับเรา ที่เราเข้ารับอิสลามใหม่ เพื่อนๆพากลับแคมป์ที่ Abqiq แยกย้ายกันไปนอน เช้าๆ ประมาณตี 5 เขาก็จะอะซานกัน เพื่อนในห้องที่เป็นมุสลิมก็ตื่นออกไปละหมาดกัน  เราก็ไปด้วย เสร็จก็กลับห้องพัก หาชากาแฟกินก่อน นั่งรอเวลาเข้างาน ก็ทำงานได้ตามปกติ พอถึงเดือนเราะมะดอน เสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2521 เป็นวันที่ 1เราะมะฎอน 1398 ก็เริ่มอดอาหารกับเขาด้วย ซึ่งก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ครบทุกวัน เพราะทำงานในห้องแอร์ (ได้ย้ายงานมาอยู่ปั้มน้ำมัน) ในระหว่างเดือนเราะมะดอนนั้นเพื่อนคนไทยมุสลิมได้พาไปรู้จักกับคนครัวที่เป็นมุสลิม ได้เข้าไปกินอาหารซะฮูรตอนตี 4 กับพวกคนครัวมุสลิม ซึ่งหาเนื้อ หาไก่ มาทำกินกันได้อิสระ
วันอีดิ้ลฟิตรี่ 1 เดือนเชาวั้ล 1398 (วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2521 ) ไปรวมกันที่ทุ่งกว้างข้างๆหมู่บ้าน อับคิค ไม่มีพรมปูละหมาดกันเลย ละหมาดกันบนพื้นทรายปนหินกรวด นั่งรอตั้งแต่ละหมาดฟัจรี่เสร็จก็พากันมาเลย มาถึงที่ลานก็แจ้งสว่างแล้ว ผู้คนก็ทะยอยมากันเรื่อยๆ นั่งๆ คุยอยู่กับเพื่อนๆอาหรับ อิยิปต์ ซีเรีย ซาอุ โมร็อกโค มีคนหนุ่มๆ ผิวดำวิ่งเร็วจี๋มาทางพวกเรา และมีตำรวจวิ่งตามมาข้างหลัง ตะโกนว่า “กัฟ กัฟ กัฟ” ฉันได้ยินแบบนี้ไม่รู้ว่าคำจริงที่ตำรวจตะโกนนั้นคือคำว่าอะไร มัวแต่ตื่นเต้นลืมถามพรรคพวกเลยว่าตำรวจพูดว่าอะไร เดินๆ ผ่านป้ายจราจรทุกวร่ทุกวันวันละหลายๆหน ตรงทางแยกจะมีป้าย ภาษาอักฤษ STOP ภาษาอาหรับ قف คิดว่าน่าจะเป็นคำนี้แน่ๆ แต่ก็ลืมถามอีกนะละ ตกลงคนร้ายวิ่งหนีรอดไป ก็จะไปทันได้อย่างไรตำรวจตุต๊ะออกอย่างนั้น คนร้ายหนุ่มๆ ผิวดำอีกด้วยวิ่งได้เร็วกว่าทนกว่าอยู่แล้ว ละหมาดอีดก็ไม่นาน เสร็จก็คุตบะห์ ไม่นานอีกนั่นแหละ เสร็จก็ ต่างจับมือ ขอโทษซึ่งกันและกันที่อาจจะแสดงอาการท่าทางหรือคำพูด ที่ไม่ดีต่อกัน แล้วกอดชนแก้มซ้าย-ขวากัน ของซาอุจะมีแถมข้างซ้ายอีกทีและส่งท้ายด้วยชนจมูกกัน ฉันเคยถามพรรคพวกว่าทำไมกอดชนแก้มกันข้างซ้ายก่อนพวกเขาตอบว่าหัวใจมันตรงกันใจต่อใจ เออก็เป็นประเพณีอีกอย่างของมนุษยชาติเราเน๊อะ
ระหว่างที่เข้ารับอิสลามนั้นเพื่อนๆก็พาไปเรียนศึกษาผู้ใหญ่ใน Abqiq ปั่นจักรยานไปตอนเลิกงานกินข้าวแล้ว พอถึงเวลาละหมาดก็เดินไปมัสยิดประจำหมู่บ้านใกล้ๆ นิดเดียว หัดอ่านหัดเขียนทุกวันทุกวัน ทั้งวัน จนอ่านอัลกุรอานได้บ้างแล้ว และท่องบท อัตตะฮิยาตและซะละวาตนบีได้แล้ว หัดอ่านหัดเขียนจนอ่านหนังสือพิมพ์อรับได้นิดหน่อย เพื่อนชาวซีเรีย ชื่อ “ยะห์ยา يحيى ”มาทำงานในซาอุกันทั้งครอบครัว มีลูกชาย 2 คน และครอบครัวน้องเมียด้วย เขยน้องชื่อ ดี๊บ ذِئْبَ (แปลว่าหมาป่า) เป็นครูสอนชั้นมัธยม มาทำการสอนโรงเรียนมัธยมในอับคิค เคยคุยกันว่าพวกเขาจะไม่กลับไปซีเรียกันอีกแล้ว พวกเขาเช่าบ้านอยู่ในหมู่บ้านอับคิคนี้ ดี๊บมีน้องเมียที่ต้องดูแลอีกคน อายุก็น่าจะเท่าๆกับฉัน เพราะฉันเคยไปบ้านดี๊บกับยะห์ยาบ่อยๆ ไปนั่งคุยกัน กินข้าว ลูกเมียเขาไม่ได้คลุมฮิญาบ แต่แต่งชุดยาว น้องเมียคนเล็กชื่อ ซอบาห์ صَبَاح ไปเที่ยวบ้านดี๊บบ่อยๆเข้า ยะห์ยากับดี๊บบอกยกซอบาห์ให้ ความจริงซอบาห์ก็สวยทีเดียวตาโต นัยตาสีดำ ผมดำ ผิวขาวมาก สูงพอๆกับฉัน พูดอังกฤษไม่ได้เลย เสียงพูดก็อ่อนนุ่มนวลดี เวลาไปเที่ยวที่บ้านมักจะเสริฟด้วยกาแฟอาหรับ คือกาแฟสด คั่วเองในกระทะไม่ทันไหม้ เพียงแต่คล้ำหน่อยเท่านั้น แล้วต้มน้ำเดือดจัดๆ คั่วลูกเฮลใส่ในกา ใส่กาแฟคั่วบดเองลงกา สักพักยกมาเสริฟ ด้วยถ้วยกาแฟสด ถ้วยเล็กๆ เป็นกระเบื้องเคลือบ มีรสชาติขมๆ หอมลูกเฮล แต่สักพักจะรู้สึกชุ่มคอ พอซอบาห์รินให้ก็ต้องดื่มเลย ห้ามเป่าว่าร้อน ห้ามหายใจรดลงในถ้วย ถือไว้สักพักก็ค่อยๆ จิบ พอจิบหมดแล้ววางหงายถ้วยลงไปตามธรรมชาติ สักพักซอบาห์จะมารินกาแฟใส่ถ้วยให้อีก ก็จิบไปอีก ก็วางหงายไว้อย่างนั้นอีก จนหมดถ้วยที่ 5 พอซอบาห์จะมารินให้แล้วฉันโบกมือพูดว่า ละอฺ ชุกรัน” หล่อนหัวเราะคิกๆ แล้วพูดจับใจความได้ว่า ทีหลังถ้าไม่ดื่มอีก ให้คว่ำถ้วยลงไป ยะห์ยาย้ำอังกฤษให้ฟังอีกที เพิ่งจะรู้ว่าภาษาอาหรับมีคำที่ใช้กับเพศหญิง เพศชายด้วย แต่ยังใช้ไม่เป็น เช่น ฮาดี้ ฮาด้า ฮาดิฮี พอยะห์ยาอธิบายเพิ่มเติมให้ก็ถึงได้รู้ว่าประเพณีดื่มชากาแฟอาหรับเขาต้องคว่ำถ้วยเมื่อไม่ต้องการอีกแล้ว  ถ้าเป็นบ้านเมืองเราออกจากบ้านไม่ทันแน่ๆ ภาษาอาหรับนี่ ชาวอาหรับพูดหรือใช้ศัพท์ต่างกันไปแต่ละท้องที่ เช่นทางเหนือมีอิรัก ซีเรีย เลบานอน ถามว่าสบายดีไหม “กิฟาก” ตอบว่า “เซน” ถ้าอิยิปต์สบายดีไหม “กิฟอัลหาก” ตอบ “คูยอีส” อาหรับเหนือตอบรับว่า “นะอาม” อิยิปต์ตอบ “ไอว่า” อาหรับอิยิปต์กับอาหรับเยเมนพูดตัว “ญีม” ไม่ได้พวกเขาออกเสียงเป็น “เฆน” เช่น “ดุญ๊าจ” (ลูกไก่) พวกเขาจะออกเสียง “ดุฆ๊าจ”
สมัยที่เป็นมุสลิมใหม่ๆ ยังไม่รู้จัก ละหมาดสุนัตชื่อ “เราะวาติ๊บ” ได้แต่จำเอาว่า เวลาไหนมีก่อนหรือหลังและเท่าไร นุ่งกางเกงขายาวกอมตาตุ่มก็โดนเตะตาตุ่มว่า “คุดฟูก  فوق خذ ” แล้วทำมือกระดกขึ้น
ใกล้เดือนฮัจย์ เข้ามา เพื่อนๆ คนไทยมุสลิมก็ชักชวนกันไปทำฮัจย์ (اَلْحَجَ) เราก็เห็นว่ามีโอกาสแล้วน่าไปทำเสียเลย ก็ตัดสินใจจะไปทำฮัจย์แล้ว ให้เพื่อนๆ อาหรับช่วยกันติดต่อกับทางการให้เปลี่ยนใบอิกอมะห์ให้เป็นมุสลิม แต่ก็ไม่ได้การตอบรับ จึงตัดสินใจลบคำที่เขียนว่าเป็นพุทธนั้นออกแล้วเติมเองว่ามุสลิม และเริ่มหาซื้อรถเก่าๆ ที่พวกอาหรับเขาทิ้งไม่เหลียวแลแล้วราคา 3 - 4 พันบาทมาซ่อมกันเอง หาซื้ออะไหล่มาจากป่าช้ารถ บางชิ้นก็ได้ฟรี ซ่อมเสร็จก็ทดลองใช้ดู ก็ใช้ได้แต่ใช้นานๆ เครื่องร้อนแล้วมักจะดับ แก้ไม่ตก
ถึงเวลาวันเดินทาง หลังละหมาดอิชาอ์วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2521 ตรงกับวันที่ 4 ซุลฮิจญะฮ์ 1398 เพื่อนที่ไปทำฮัจญ์ด้วยกันมี 4 คน 1. ดนัย สุมาลยศักดิ์ 2. ริดวาน สุมาลยศักดิ์ 3. กอเดร 4. ฉันเอง วันนี้หยุดงานหนึ่งวัน เช้ามาก็เตรียมหาเสบียง مادة غذائية FoodStuff สัมภาระ น้ำ เตาไฟก็ใช้เตาฟู่น้ำมันก็าดที่ต้องปั้มลมเข้ากระเปาะน้ำมันแล้วจึงจุดไฟได้ หลังละหมาดอิชา ก็เริ่มออกเดินทาง ขับไปเรื่อยๆ ช้าๆ ไม่ได้เร่งรีบ ระยะทางจาก Abqiq ถึง Riyadh เมืองหลวงประมาณ 400 กม. และจาก Riyadh (الرياض) ถึง Makkah  مَكَة الْمَكَّرَمَةُ  อีก 1000 กม. เช้าก็หยุดรถละหมาดหุงหาข้าวกิน กินเสร็จก็เอนกายพักผ่อนกันหน่อย บ่ายลุกขึ้นหุงหาอาหารกิน ละหมาดดุฮรี่ร่วมกัน แล้วก็ขับรถออกเดินทางต่อไป ตอนนั้นยังละหมาดย่อไม่เป็น ถึงเวลาอัสรี่ก็จอดรถลงไปละหมาด พอหลังละหมาดอัสรี่ก็จะหยุดรถนานหน่อยเพื่อจะได้หุงหาอาหารกินข้าวเย็นและละหมาดมักริบ นั่งรอละหมาดอิชา ก็คุยกันไปพลางๆ ใครมีเกร็ดความรู้อะไรก็เอามาบอกกล่าวกัน ละหมาดอิชาอ์เสร็จจึงออกเดินทางต่อ ขับรถเรื่อยมาไม่เกิดปัญหาใดๆ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ใช้เวลาขับรถ 2 วัน คืนวันที่ 4 – 5 – 6 ซุลฮิจญะห์ 1398 (5 – 6 – 7 พฤศจิกายน 2521) เดินทางมาก็หยุดพักกันบ่อย ไม่ได้อาบน้ำกันเลย
เช้าวันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2521 (7 ซุลฮิจญะฮ์ 1398) สายหน่อยมาถึงป้ายบอกทางเข้าเมือง ตออิฟ  طاءف  Taif เลยมาหน่อยก็จะมีด่านตรวจ รถทุกคันผ่านการตรวจค้นทั้งในและนอกรถ เราทุกคนต่างใจไม่ดีกัน เกรงว่าจะเกิดสิ่งที่ไม่ปรารถนาขึ้น ก็ขอดุอาอ์กันให้พ้นไปด้วยดีเถิด ทุกอย่างก็ผ่านไปโดยที่ตำรวจไม่เรียกรถเราให้เปิดท้ายดูและไม่ได้ถูกเชิญให้ลงจากรถเพื่อตรวจค้นเลย พอรถจอดตำรวจก็ก้มๆ มองเข้ามาในรถ แล้วก็พูดว่า “ยัลละห์” เป็นภาษาพูดเข้าใจได้ว่า “ไป” ไม่รู้คำเขียน ขยับรถเดินหน้ามานิดเดียวก็มีที่พักรถ มีผ้าอี้หะรอมขาย มีห้องอาบน้ำชั่วคราวมีถังใหญ่ๆ ใส่น้ำ อาบน้ำญะนาบะห์ (อาบน้ำยกหะดัสรวม อาบน้ำญะนาบะห์นั่นเอง) ที่ตกลงกันไว้คือจะทำฮัจญ์ แบบตะมัตตุ๊อะอฺ حج التمتع (ประเภทของฮัจญ์) เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ครองอี้หะรอม นุ่งหนึ่งผืน ห่มสไบเฉียงแบบ “อิฏฏิบะห์ اتباع” หนึ่งผืน ก็เดินมาที่รถ มีบริเวณราบโล่งพื้นทราย ได้ละหมาดครองอี้หะรอม 2 เราะกะอัต ตักบีรมาตลอดที่นั่งรถเข้ามักกะห์ (ลับบัยกัลลอ ฮุมมะ ลับบัย ฯ ) ระยะเดินทางจากตออีฟเข้ามักกะห์ไม่ไกลเลยขับรถ 2 ชั่วโมงสำหรับรถแก่ๆ และทางลงเขาอีกด้วย (ประมาณ 90 กิโลเมตร) ออกเดินทางเข้ามักกะห์ต่อไป ถึงมักกะห์บ่าย ก็หาที่จอดรถข้างมัสยิดหะรอม บริเวณที่จอดรถข้างมัสญิดหะรอมมีมากมายกว้างขวางไม่มีรถเท่าไร สมัยนั้นห้ามถ่ายรูป แต่แอบถ่ายหออะซานมาได้ ตอนไปทำฮัจญ์เอากล้องไป 2 ตัว คือ YACHICA 24 กล้องบ็อกซ์ ฟิล์ม 120 ขนาด 56 x 56 mm และกล้อง YASHICA Electro 35 กึ่งอัตโนมัติ วิวไฟเดอร์แยกจากเลนส์กล้อง ปรับตั้งสปีดชัตเตอร์ B และ Auto และ Flash  หน้ากล้องกว้างสุด 1.7 แคบสุด 16  การตั้งค่าของแสงในฟิล์ม ASA 25 – 1000 มีปุ่มวัดแสง ฟิล์ม 35 มม. กล้อง Electro 35 ซื้อมาราคาไม่กี่พันบาทถูกกว่าเมืองไทยครึ่งราคาเพราะประเทศซาอุฯ ไม่เก็บภาษีนำเข้า ยินค้าอุปโภคบริโภค ยกเว้นบุหรี่เก็บภาษี 100%


ใช้กล้องบล็อก YACHICA 24 

 
Film 120 sizes 56x56 mm. (actual image area) 12 frames


แบตเตอรี่ของกล้อง YASHICA Electro 35 Mercury HM-4N 5.6 V. เริ่มใช้ปี 2521
จนปี2558 มาเปิดดูแบตเริ่มมีจุดดำๆ เลยถอดออก (37ปีคากล้องอยู่)

เข้ามาในมัสญิดดิ้ลหะรอมแล้วไปตอวาฟ ( طواف ) อุมเราะห์กันเลย
ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นบัยตุ้ลเลาะห์ (วิหารกะอฺบะห์) ดูไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพกราบไหว้บูชาอันใดเลย มันเป็นตึกดินธรรมดาๆ คลุมด้วยผ้าดำ ตึกสูงประมาณ 2 ชั้นของบ้านปัจจุบัน มีห้องเดียว ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางลานมัสญิด ตื่นเต้นมาก ดีใจที่ได้เห็น ดูยิ่งใหญ่ ดูมีพลัง ดูไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ตอวาฟเสร็จเจ็ดรอบจะมาละหมาดหลังมะก่อมอิบรอฮีมนั้น เลือกที่เหมาะๆ ให้ถูกใจได้เลย
ละหมาดเสร็จก็ออกมาทางสะอา เดินสะอา ( سعى) 7 เที่ยว ลานสะอาก็ยังเป็นชั้นเดียว มีเนินเขาทั้งสองเขาที่เราต้องเดินขึ้นเนินด้วย ระหว่างทางไม่มีไฟเขียวบอกสัญญาณ ไม่มีทางรถเข็น สมัยนั้นใช้คนดำหามขึ้นเสลี่ยง (คานหาม, แคร่หาม, เฉลี่ยง) บนหลังคาดาดฟ้าไม่มีใครขึ้นไป เพราะข้างล่างมีพื้นที่พอใช้กัน เสร็จก็ขลิบผมนิดนึง แล้วจากนั้นก็ขับรถตระเวนไปรอบๆ มัสญิดหะรอมและบริเวณใกล้เคียง ตึกรามบ้านช่องเป็นดินก็มีเป็รคอนกรีตก็มี รอบๆมัสญิดนี้บ้านเรือนจะไม่สูงนัก แค่ชั้นสองชั้น ห่างออกไปหน่อยก็เริ่มมีสูงๆหลายชั้นขึ้นมาแล้ว บ้านที่ปลูกบนภูเขามีมากแต่ไม่เต็มพื้นที่ ตลาดหน้ามัสญิดก็คึกคักผู้คนเดินกันบวักไขว่ มีขายหลายอย่าง ตั้งแต่อาหารการกิน เครื่องเทศ ร้านของชำ น้ำหวานเครื่องดื่ม เครื่องทองเหลือง อินทผาลัม ซะบีบ มะเดือแห้ง ผลไม้สด ส้ม แอปเปิ้ล องุ่น อีกสารพัดเยอะแยะ ถนนหนทางก็ไม่กว้างขวางเท่าไรนัก พวกเรากลับมาค้างคืนที่ข้างมัสยิดหะรอม หุงหาข้าวกินกัน นอนบนลานจอดรถข้างมัสญิดหะรอมนั้นเอง
ภาพภายในลานตอวาฟ ลานตอวาฟโล่ง แต่ตัวอาคารมัสญิดิ้ลหะรอมจะมีเพิงหลังคาที่มีโดมเล็กๆ หลายลอน ยื่นออกมาจากตัวอาคารบริเวณ ด้านหน้าหินดำกับตัวอาคารมัสญิด และจะเป็นที่ที่ผู้หญิงจะมาละหมาดกันที่จุดนี้ ความหนาแน่นของฮุจญาจก็ไม่มาก ผิดกับสมัยนี้มากทีเดียว ฮุจญาจมากถึง 2-3ล้าน
เช้าวันที่ 8 ซุลฮิจยะฮ์ 1398 (พฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2521)  กินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางไปทุ่งมีนา مِنَى  ( ระยะทาง 4-5 กิโลเมตร เข็มไมล์ในรถ 2ไมล์กว่าๆ) ลอดเข้าอุโมงค์ จากมักกะห์ไปมีนา ผ่านเข้าอุโมงค์ยาว ข้างในมีพัดลมตัวใหญ่ๆ เป่าลมออกจากอุโมงค์เพื่อให้อากาศถ่ายเท สมัยนั้นทุ่งมีนา ไม่กว้างขวางนัก มีสะพานลอยชั้นเดียว ไม่สูงนัก กว้างโอบเสาหิน ตัวแท่งเสาหินก็ไม่ใหญ่โตอะไร เป็นเสาปูนสี่เหลี่ยมสูงพ้นสะพานลอยขึ้นมาไม่มาก ใกล้ๆ กันมีมัสญิดมีนา ก่อนมาถึงนี่ จะต้องผ่านขึ้นช่องเขาไม่ชันนัก ความที่รถรามันแน่นขนัด ติดต่อกันยาวมากๆ รถบางคันขึ้นบนเขาแล้วคาค้างอยู่ บางคันก็คลัชท์ไหม้ บางคันก็หม้อน้ำเดือด บางคันก็ห้องเครื่องควันขึ้นตลบอบอวน แต่ทุกคันก็แก้ปัญหาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เดินไปถึงทุ่งอารอฟาตจนได้ ไม่ได้ค้างคืนที่มีนา เพราะไม่รู้ ค่ำๆ ก่อนมักริบออกเดินทางไปอารอฟาตกันเลย หุงหาอาหารกินกันเสร็จก็นั่งเสวนากัน ทบทวนบทเรียนการทำฮัจย์กัน กลางคืนก็เดินไปทุ่งเพื่อปลดทุกข์ มีน้ำบรรทุกใส่รถมาไว้ใช้ด้วย เช้าวัน
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2521 ตรงกับวันที่ 9 ซุลฮิจยะฮ์ 1398 วันที่ 9 ซุลฮฺจญะห์ของทุกปี จะเป็นวัน “วุกุฟ وُقُفَ“ แปลว่า “หยุด” และเป็นวัน “ฮัจญีอักบัร เพราวันวุกุฟตรงกับวันศุกร์” วันวุกุฟคือวันของผู้ที่จะทำพิธีฮัจญ์จะต้องมาวุกุฟ หยุดพักที่ทุ่งอารอฟาต เพื่อทำการละหมาดย่อและนำละหมาดอัสรี่ขึ้นมารวมละหาดในเวลาดุฮรี่ (บ่าย) (เรียกละหมาดย่อว่า “กอศ็อร قصر ” และเรียกละหมาดที่นำมารวมกันต้นของเวลาแรกว่า “การละหมาดรวมต้น جمع تقديم  (ถ้านำละหมาดต้นๆ ล่าช้าไปรวมละหมาด ช่วงปลายคืออัสรี่ จะเรียกละหมาดรวมนี้ว่า جمع تأخير) สรุปย่อๆ ว่า
การละหมาดย่อ ทำได้เฉพาะละหมาดที่มี 4 เราะกะอัต ย่อให้เหลือ 2 เราะกะอัต ที่มี 2 และ3 เราะกะอัต ย่อไม่ได้
การนำเอาละหมาด 2 เวลามารวมกัน ทำได้ทั้ง 3 เราะกะอัตหรือ 4 เราะกะอัต
     -   เอาอัสรี่ขึ้นมาละหมาดต่อจากดุฮรี่เลย เรียกว่า “ละหมาดรวมต้น جمع تقديم” ทุกๆ ละหมาดต้องมี “อิกอมัต”
     -  เอาละหมาดดุฮรี่ลงไปละหมาดในเวลาอัสรี่ เรียกว่า “ละหมาดรวมท้าย جمع تأخير “ทุกๆ ละหมาดต้องมี “อิกอมัต”
           -  เอาละหมาดอิชาอ์ลงมาละหมาดในช่วงเวลามักริบ  “ละหมาดรวมต้น جمع تقديم” ทุกๆ ละหมาดต้องมี “อิกอมัต”
           -  เอาละหมาดมักริบล่าช้าไปละหาดในช่วงเวลาของอิชาอ์ “ละหมาดรวมท้าย جمع تأخير “  ทุกๆ ละหมาดต้องมี “อิกอมัต”
ละหมาดย่อและรวมเสร็จก็นั่งสมาธิสงบนิ่งสวดภาวนาขอพร รำลึกถึงความเมตตากรุณาของอัลลอฮ์ต่างๆ ที่มีให้พวกเรามา รำลึกถึงหน้าที่ตนที่ต้องทำการตอบแทนกรุณาธิคุณต่ออัลลอฮ์ ตั้งแต่ดุฮรี่จนถึงมักริบ (บ่ายโมง - ตะวันลับขอบฟ้า) อากาศร้อนมากๆ มีผ้าห่มผืนใหญ่ที่เตรียมมา ผูกเชือกขึงกับรถกางกันแดด พอถึงเวลามักริบ ทำท่าจะละหมาดมักริบ มีพวกอาหรับตะโกนมาว่า หะรอม หะรอม พวกเราก็หยุด แล้วมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีใครเขาละหมาดมักริบกันเลย เห็นแต่ทุกคนมุงหน้าออกจากทุ่งอารอฟาตกัน ส่วนใหญ่จะเดินเท้ากัน มีรถบัสเหลืองผู้คนปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาเลย แต่วิ่งยังไม่ได้เพราะผู้คนหนาแน่นมาก รถขยับได้ทีละนิด ทีละนิด ส่วนเราก็ปล่อยให้คนเขาไปกันก่อน ก็ขยับรถไปทีนิดมั่ง ไปถึงมุซดาลิฟะห์ ห้าทุ่มกว่า เหนื่อยเมื่อยเหมือนกัน อาบน้ำละหมาดอันน้อยนิด ละหมาดมักริบ (ไม่ได้เกาะซ็อร قصر) และอิกอมะห์ละหมาดอิชาอ์ย่อ (قصر) เสร็จจากละหมาด ก็หาเก็บลูกหิน 70 เม็ด นอนเอนหลังลงบนเนินหิน
หลังเที่ยงคืนผู้คนก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ เกือบสว่างแจ้งแล้ว ตี 3 ตี 4 แล้ว เราก็ออกเดินกับเขามั่ง เดินมากลางทางดูว่าได้เวลาละหมาดซุบฮิแล้ว ก็หยุดละหมาดกัน มาถึงทุ่งมีนา ตอนเช้าตรู่ หาที่จอดรถได้ก็ไปขว้างเสาหิน สมัยนั้นเป็นเสาต้นสี่เหลี่ยมสูงใหญ่ มีสะพานลอยหนึ่งชั้น ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดกันมาก แต่ก็เบียดเข้าไปขว้างเสาต้นที่ 3 จนเสร็จ กลับมาที่รถขลิบผมกันอีกที พอดีบังเอิญไปเห็นเขาโกนหัวกัน เขาเห็นพวกเราไม่โกนหัว เขาก็ถาม (ภาษาใบ้) ว่าไม่โกนหัวหรือ พวกเราก็ตอบว่าไม่มีมีดโกน โดยชี้ไปที่มีดโกนแล้วโบกมือ พวกเขาก็อาสาโกนให้ เสร็จแล้วก็เข้าขับรถคลานๆ ผู้คนส่วนใหญ่จะเดิน เข้ามักกะห์เลยไปตอวาฟสะอาฮัจย์กันให้เสร็จไปเลย เดินกลับทุ่งมีนาไปเรื่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ มีคนเดินกันมากมายเลยไม่รู้สึกเหนื่อย พอถึงมักกะห์ก็เข้าไปตอวาฟสะอากันเลย กลับถึงทุ่งมีนาเย็น หุงหาอาหารกินกัน ละหมาดอิชาแล้วก็หาที่นอน ใกล้ๆ เสาหินมีมัสยิดแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว และไม่ได้เข้าไปละหมาดกับเขา เพราะเราเข้าใจว่าเราละหมาดย่อแล้วเขาไม่รู้ว่าย่อหรือเปล่า ก็ละหมาดกันเองข้างรถนั่นแหละ อยู่ขว้างเสาหิน 3 วัน

 ปี พ.ศ. 2521 เข้ารับอิสลามแล้วทำฮัจญ์ 
ทุ่งมีนาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2521 เสาไฟส่องสว่างสร้าง
มานมนานมากแล้ว สายไฟก็ไม่ได้เดินสายบนดิน ถูกฝังใต้ดินหมด

ภาพถ่ายแบบเปิดหน้ากล้อง 5.6 สปีดชัตเตอร์ค้าง (B) เป็นเวลา5วินาที
ระหว่างทางจากอารอฟาตไปมุซดาลิหะห์ เวลาประมาณ 20.00 น.

ช่องเขาปราบเซียน แคบๆ แต่ไม่ชัน รถติดคิวยาวมาก
คนลงเดินกันเยอะ 
รถมักจะมีปัญหาคลัชท์ไหม้กัน

มุมหนึ่งบนทุ่งมีนายามมักริบแล้ว

ปี 2521 ฮ.ศ.1398

ที่ทุ่งอารอฟาต ปี 2521

ตึกรามบ้านช่องในรอบนอกเมืองมักกะห์เป็นตึกสูงๆ 
ใกล้ๆ รอบๆมัสญิดหะรอมเป็นตึกเก่าๆ  2-3 ชั้น 

บ่ายๆวันที่ 13 ซุลฮิจยะฮ์ 1398 (อังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2521) ขว้างเสาหินแล้วก็ออกเดินทางเข้ามักกะห์อีกที ตอวาฟวะดะอ์แล้วก็อยู่ละหมาดอิชา แล้วนั่งพักกันเดี๋ยวเดียว ก็ตกลงกันไปนครมะดินะห์กันคืนนี้เลย
ขับรถตอนกลางคืนไปเรื่อยๆ ถนนเป็นสองเลนแบบสวนกันไปมาได้ มีไหล่ทางลาดยางกว้างและระดับเดียวกับพื้นถนน ไม่มีเสาไฟฟ้าส่องสว่าง ไม่มีปั้มน้ำมันระหว่างทาง (รถฉันมีแกลลอนสำรองไว้ 20 ลิตร ง่วงก็จอดรถนอนข้างทาง ตื่นเช้ามาหุงหาอาหารกินกันแล้วก็ออกเดินทางต่อ เห็นวาดี (พื้นที่มีน้ำมีดิน) เห็นสวนอินทผาลัม ร่มรื่นเชียว มาถึงนครมะดินะห์ ดุฮรี่ ใช้เวลาไปหนึ่งคืนกับครึ่งวัน (สมัยปี ตุลาคม 2557 มีรถบัสทันสมัย ยังใช้เวลาวิ่งไปมะดินะห์ตั้ง 8 ชั่วโมง) จอดรถข้างๆมัสญิด แล้วก็ออกมาหุงหาอาหารกินกัน เห็นบ้านเรือนทำด้วยดินเรียงรายกันใกล้ๆ มัสยิดนะบะวีย์ อยู่ค้างคืนเดียวเองก็กลับแคมป์ที่ทำงาน กลับมาถึงก็มีคำสั่งจากออฟฟิสว่าให้หยุดงาน อีก 2 วันก็มีตั๋วเครื่องบินและพาต์ปอร์ตมาให้คนขับรถยื่นให้ก็บอกให้เราและเพื่อนๆ ที่ไปทำฮัจย์มาขึ้นรถ พาไปส่งที่สนามบินดะห์ราน Dhahran (ظهران) สมัยนั้นสนามบินดะห์รานเป็นสนามบินเล็กๆ ขามาจากเมืองไทยมาสายการบินแอร์อินเดีย จอดที่บอบเบ (มุมไบปัจจุบัน) แล้วเดินทางต่อมาลงบะห์เรน จากบะห์เรนก็นั่งเครื่องบินเล็กๆ น่าจะนั่งได้สัก 20 คนเห็นจะได้ บนเครื่องบินเล็กนี้มีท็อฟฟี่และน้ำผลไม้กล่องยูเอ็ชทีแจก เพิ่งเคยกินน้ำผลไม้กล่องก็บนเครื่องบินเล็กนี่แหละ นั่งเครื่องบินเล็กมาลงบะห์เรนรอกลับเมืองไทย กับสายการบิน กัล์ฟแอร์ของบะห์เรน กลับถึงเมืองไทยก็ยังศึกษาหาความรู้ด้วยการหาหนังสือมาอ่าน และไปเรียนรู้ที่ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย เพราะไม่รู้จักใครที่ไหน แล้วที่ศูนย์ฯก็สอนคล้ายๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาจากเพื่อนต่างชาติสมัยอยู่ที่อับคิค

ปี 2522 กลับมาเมืองไทยแล้วไม่รู้จะไปพักที่ไหนก็ไปบ้านตุ้ม บ้านตุ้มย้ายมาอยู่เคหะนคร 3 ถนนพัฒนาการ ที่บ้านตุ้มมีพี่เขยทำงานจัดคนไปซาอุฯ ไมได้ทำอะไรก็ไปช่วยๆ ทำโน้นทำนี่ในออฟฟิซถนนวิภาวดี-รังสิต ซอยทรงสะอาด ทำงานไม่ได้เอาค่าจ้างอะไร เกรงใจพี่เขยเขา อยู่มาวันหนึ่ง มีบริษัทจัดหางาน จะส่งคนไปประเทศลิเบีย ทางการลิเบียต้องการให้แปลหน้าพาสต์ปอร์ตเป็นภาษาอาหรับ ฉันก็รับงานไว้ ติดต่อขอที่อยู่ไว้ ทางบริษัทนัดไปเอาเอกสารอีกสองสามวัน โทรเข้าไปเช็คดูก่อน สมัยนั้น โทรศัพท์บ้าน กับสาธารณะ ระหว่างรอเอกสารนั้น ฉันก็ไปหาต้อยน้องชายตุ้ม เอาตัวอย่างหน้าพาสต์ปอร์ต ให้ไปถามอาจารย์ที่อิสลามวิทยาลัยมาว่าแปลเป็นภาษาอาหรับได้อย่างไรบ้าง ไปตอนสายๆ ค่ำๆกลับมาหน้าตาเบิกบาน ฉันได้กำหนดก็ไปรับพาสต์ปอร์ตมา 30 กว่าเล่มละ 50.-บาท  โอ้โฮ เป็นเงินตั้ง 1500.-บาท สมัยนั้นมากมายอะไรเช่นนี้เขียนแค่สองวันเอง ไปส่งพาสต์ปอร์ต รับเงินมาก็แวะบ้านต้อยทันที ให้เงินต้อยไป 750.- คนละครึ่ง ต้อยก็ว่าให้เยอะไปไม่ได้ช่วยอะไรเลย ได้เงินมาก็ไปซื้อรถวิทยุบังคับเล่น คันละ 1500 บาท ชื่อร้าน “อมร” มีงานเขียนพาสต์ปอร์ตอยู่หลายครั้ง มีเงินใช้
ไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกนอกจากตุ้ม ต้อย ตุ่ม ก็มีตุ่มไม่ได้เรียนตามเพื่อนเพราะพ่อให้ออกมาดูแลแม่ ก็แวะเวียนมาหาตุ่มบ่อย แต่นัดเจอกันนอกบ้านนะ กลัวเยาะห์รู้ (เยาะห์แปลว่าพ่อที่ไปทำฮัจญ์มาแล้ว ปกติจะเรียกป๊ะ หรือ ป๋า) จะไปไหนด้วยแท็กซี่ก็ลำบากเพราะเดี๋ยวเจอพวกพี่ๆ ขับแท็กซี่ เคยไปที่โต๊ะเรียนรามของพวกเพื่อนๆ ก็รู้จักกันหลายคน แต่ก็หลายคนเมื่อก่อนไม่ชอบขี้หน้าฉัน เพราะฉันเอาแต่เมาเหล้า แล้วแถมแอบเขียนภาษาอาหรับเป็นตอนเมาอีก เพื่อนๆ จึงไม่ชอบหน้า
ปลายๆ ปี 2522 นั้นฟันที่ถอนไปหลายซี่เคี้ยวอะไรไม่ค่อยดี ตุ่มพาไปทำฟันปลอมที่พระโขนง หมดไปหลายพัน แต่ทำวันเดียวเสร็จเลย ทำได้ดีมากๆ ใช้มาจนฟันผุอีกซี่เมื่อปี 2547 ฟันปลอมก็ใช้ไม่ได้และไม่ได้ไปทำใหม่ (ใช้มา 25ปี) ก่อนจะบินอีกเที่ยวนึง ไปมาหาสู่กับตุ่มอย่างลับๆ เพราะต่างไม่มีเพื่อนที่ไหน วันนึงเจอกันแล้วตุ่มต้องไปเก็บสตางค์ค่าเช่าบ้านที่คลองตัน ก็ชวนไปด้วย เดินๆ กันอยู่ เยาะห์ตุ่มโผล่พรวดตรงหน้าเราทั้งคู่หน้าซีดกันเลย เยาะห์ก็ไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่ไล่ตุ่มกลับบ้าน หลังจากนั้นไม่กี่วันฉันก็ตัดสินใจเข้าไปหาเยาะห์ (เยาะห์ คือ พ่อ) ตุ่มถึงบ้าน บอกให้ท่านรู้ว่าฉันจะมาขอลูกสาว ความที่ฉันไม่เคยมีสังคมมุสลิมมาก่อน เคยเห็นแต่สังคมเดิมที่เป็นพุทธ การเข้าหาพ่อแม่ผู้หญิงในทางพุทธเขาไม่ว่ากันถือว่ากล้าสู้หน้ากับผู้ใหญ่ให้ท่านเห็นด้วยว่าจริงใจ แต่กลับโดนตอกหน้าหงายออกมาว่าไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือหรือ ด้วยความซื่อก็ตอบว่าไม่มี เพราะไม่อยากรบกวนใครเขา เยาะห์ทำเฉย ฉันก็เห็นท่าไม่ได้เรื่องแล้วก็ถอยออกมา ลาละครับ
ช่วงปลายปี ดล (ดลคือน้องชายแท้ๆ)ไม่มีที่อยู่มาอาศัยอยู่กับบ้านตุ้มด้วย บ่ายวันหนึ่งดลนั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่น ฉันก็ยืนละหมาดอยู่ ก็ไม่ถึงกับขวางทางเดินหรอก เพราะยืนชิดขึ้นมาใกล้ผนังด้านทิศตะวันตกแล้ว แต่บังเอิญดลนั่งอยู่เก้าอี้ตัวด้านตะวันตก ก็จะออกไปข้างนอกเดินจะผ่านหน้าที่ฉันละหมาด ฉันก็ยื่นมือออกไปทำท่าห้ามผ่านเข้ามาหน้าจุดสุญูด ดลก็กลับเข้าไปนั่งต่ออีก พอฉันละหมาดเสร็จดลก็ถามว่าทำไมไม่ให้เดิน ฉันก็ตอบว่ากำลังละหมาด คือการเคารพสักการะพระเจ้าน่ะ ดลก็แค่ร้อง อ๋อ...
อีกหลายวันต่อมาดลถามว่าอิสลามเป็นอย่างไร ก็อธิบายว่า
อิสลามคือศาสนาที่มีพระเจ้าองค์เดียว เรามนุษย์ด้วยกันไม่กราบไหว้บูชาคนด้วยกัน ไม่เหมือนทางพุทธที่พระคนไหนเทศน์เก่งๆ ดังๆ คนก็จะนิยมชมชอบเลื่อมใสศรัทธา เอารูปปั้นพระนั้นไปบูชา ไม่ได้สักการบูชาพระพุทธเจ้าคนเดียวซะแล้ว เมื่อสักการะบูชาไปทั่วมีหลายพระดังๆ และพระที่ตนนิยมชมชอบเป็นพิเศษก็จะได้รับการเอาใจใส่มากกว่าพระอื่นๆ เวลามีเคราะห์กรรมก็จะเอาพระที่ตนชอบเป็นพิเศษนั้นมากราบไหว้ขอให้พระคุ้มครอง หรือไม่ก็ขอให้พระนั้นมอบสิ่งโน้นสิ่งนี้ให้ ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้กราบไหว้บูชารูปปั้นพระพุทธเจ้าและรูปปั้นอื่นๆ
แต่ในอิสลามมีอัลลอฮ์องค์เดียวเวลาเราจะร้องขออะไรก็เปล่งเสียงเอ่ยคำขอนั้นออกมาโดยตรงกับอัลลอฮ์เลย ไม่ต้องบูชาพระอื่นใดให้มาเป็นสื่อ หรือ ตัวกลางเข้าร้องขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากอัลลอฮ์ อัลลอฮ์ทรงสร้างวัตถุสิ่งของไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือไม่มีชีวิตก็ตาม ล้วนแล้วแต่วัตถุนั้นต้องประกอบไปด้วยโมเลกุลเล็กๆ เกาะเกี่ยวเรียงตัวกันเป็นรูปร่างสสารนั้นๆ หรือใหญ่โตเป็นจักรวาล ตั้งแต่เล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแล้ว ใหญ่จนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอีกเช่นกัน ทั้งๆสิ่งดังกล่าวเหล่านั้นมีตัวตนจริง แต่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห้นทั้งเล็กและใหญ่
อีกตัวอย่างหนึ่ง กระแสไฟฟ้าในเส้นลวดทองแดงที่มันวิ่งอยู่เส้นลวดตลอดเวลา เสียบปลั๊กพัดลมเข้าไปมันก็แปลงมาเป็นลมพัดให้เราเย็นสบาย เรารู้อยู่ว่าในเส้นลวดทองแดงนั้นมีกระแสไฟที่สามารถทำเราให้เสียชีวิตได้เลยทีเดียว เราจึงไม่เอานิ้วหรือโลหะอะไรเข้าไปแหย่ในรูปลั๊กไฟต่างๆ เห็นไหมว่าสิ่งมีพลังอำนาจมีอยู่จริงแต่เราไม่สามารถมองเห็นมันได้ แม้แต่คนค้นพบมัน รู้จักนำมันมาใช้อำนวยประโยชน์ให้เรามวลมนุษยชาติ ก็ยังไม่เคยเห็นตัวตนของมันสักคนเดียว
อีกตัวอย่างหนึ่งเราดูโทรทัศน์เราแค่เอาโทรทัศน์มาเสียบปลั๊กไฟ มันก็ภาพมีเสียงให้เราได้ยินได้ชมภาพต่างๆ แต่ถ้าเราเอาวิทยุไปเสียบปลั๊กไฟ มันมีแต่เสียงมันไม่มีภาพให้เราดู ทั้งคลื่นโทรทัศน์และคลื่นวิทยุ มันก็ไม่มีรูปร่างให้เรามองเห็นมันได้ แต่มันมีพลังอำนาจที่จะทำให้เครื่องรับมีเสียงหรือทั้งเสียงและภาพ คลื่นวิทยุโทรทัศน์ไม่มีรูปร่าง แต่เขาคิดประดิษฐ์เครื่องมือจำลองลักษณะคลื่นได้
อัลลอฮ์เป็นพระเจ้าของเราเหล่ามนุษยชาติ พระองค์มีอยู่จริงไม่ต้องหาข้อพิสูจน์ เพียงเรามีจิตวิญญาณที่ยอมน้อมรับว่าพระเจ้าคืออัลลอฮ์มีจริงแน่นอน เราจะไปต่อรองว่าจะต้องเห็นตัวพระเจ้าก่อนแล้วค่อยเชื่อศรัทธาแล้วสักการะต่อไปกระนั้นหรือ การที่เราจะน้อมรับศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เป็นเรื่องความรู้แจ้งเห็นจริงว่าอัลลอฮ์มีอยู่แน่นอน เฉกเช่นเรื่องไฟฟ้าที่ใช้กับเครื่องเล่นอะไรต่างๆ เรายังไม่เห็นต้องเรียกร้องให้มันแสดงตนก่อนเลยว่ามันมีตัวตนจริงๆ  แล้วเราจึงจะใช้ประโยชน์จากมัน ฉะนั้นหรือ
อธิบายจบดลก็บอก ขอเข้าอิสลามด้วยคนสิ ฉันก็รู้สึกยินดีที่น้อง เข้าซึ้งถึงอิสลามและยอมรับนับถืออิสลามเป็นทางนำแห่งชีวิต ก็ยื่นมือไปจับมือกันด้วยมือขวา แล้วก็อธิบายว่า วิธีการเข้ารับนับถืออิสลาม ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เราปฏิญาณตนว่า
“อัชฮะดุ้ อั้น ลา อี้ลาหะ อิ้ล ลัลลอฮุ วะ อัชฮะดุ้ อั้นนะ มุฮัมมัดดัร เราะซูล ลุลลอฮิ”
แล้วก็ค่อยๆ บอกทีละคำ ทีละคำ
ดลอาศัยบ้านตุ้มระยะหนึ่ง ก็กลับไปบ้านแก่งคอย แล้วไปอยู่ฟาร์มลาลาที่มวกเหล็ก

ปี 2523 กลางๆปี พี่โย (โยธิน ถิ่นเกาะแก้ว) มีงานคนขับรถเจ้านายว่างก็ส่งฉันไป ชื่อบริษัท HALCO เมืองอัลคุบารฺ ได้ขับทีเดียว ไม่ค่อยรู้ถนน จอดเก็บรถเข้าข้างทางไม่เรียบร้อย ก็รถมันใหญ่อย่างกับควาย 5 ตัวรวมกัน เวลาสตาร์ทเครื่องยนต์เบนซิน 8 สูบ ตัวถังยาวและกว้างมาก สตาร์ทแล้วยังออกรถไม่ได้ ต้องรอระบบเช็คอัตโนมัติ มีไฟกระพริบทีละอย่าง ทีละอย่าง คือน้ำมันเครื่อง น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันเบรก ไส้กรองอากาศ อะไรอีกจำไม่ได้แล้ว ประตูรถเปิดอยู่หรือปิดไม่สนิทก็ออกรถไม่ได้ ไฟหน้าถ้าเข้าอุโมงค์มืดๆ จะเปิดไฟหน้าเองอัตโนมัติ พอเจ้านายไม่ไห้ขับรถจับมานั่งในออฟฟิซก็พูดอาหรับภาษา ซื้อ-ขาย-ให้เช่า ห้องแบบไหน ที่ดินแบบไหน ไม่เคยรู้ศัพท์พวกนี้มาก่อนเลย เรื่องอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) และพึ่งจะรู้จักคำว่า “Real Estate” ก็ที่นี่แหละ พอมีลูกค้ามาเช่าห้องฉันไม่เคยรู้ศัพท์ก็ใบ้กิน เจ้านายให้นั่งข้างในแล้วคอยเสริฟน้ำชา เมื่อแขกมา บางวันก็โดนใช้ไปเอาน้ำดื่มที่ศูนย์บริการในเมือง ทางรัฐบาลจะผลิตน้ำดื่มให้บริการฟรีที่จุดกำหนด เอาถังแกลลอนไปหลายๆ ใบ ได้น้ำมากแล้วก็ขับไปแจกจ่าย 2 บ้าน บ้านอับดุลอะซีซ ซึ่งมีแม่บ้านปากีสถานอยู่ และค่ำๆก็จะได้เจอลูกสาวแสนสวย ทำงานสายการบินในสนามบินดะห์ราน เธอเคยบอกชื่อเหมือนกันแต่ลืมไปแล้ว สวยน่ารักดี หล่อนหอบเอาเสื้อผ้ามาให้ซัก ผ้าหล่นหล่อนก็ใช้ตีนเตะส่งมาให้ แล้วชอบมานั่งคุยด้วย ถามเรื่องเมืองไทยมีมุสลิมด้วยหรือ พอจะกลับออกไปก็จะให้ทิปส์ไว้ 50 รียาล (350.-บาท ก็เรียกว่ามากทีเดียว) เครื่องเป็นเครื่องซักแบบฝาบน ยี่ห้อสปีดควีน จะไปซักรีดเสื้อผ้าอาทิตย์ละ 2-3วัน อีกบ้านหนึ่งคือบ้านอับดุลมะญีด อัล อาลี มีลูกสาวแสนสวยอีกคนชื่อ ”ฟะเทน”ส่งน้ำตามบ้านเสร็จก็จะมานั่งคุยกับ “เปี๊ยก” น้องเมียสุนทร (สุนทรคือคนไทยที่อับดุลมะญีดชวนมาลงทุนทำอาหารไทย ก๋วยเตี๋ยว และสั่งซื้อสินค้าจากไทไปขาย เช่นเครื่องแกง พริกแห้ง กะปิ ปลาร้า พวกกระทิงแดง บุหรี่ไทย และก็มีไก่แช่แข็ง เนื้อแช่แข็ง อาหารกระป๋อง เช่นเห็ด หน่อไม้ ฯลฯ พอชักจะเบื่อๆก็พอดีมีพวกปากเน่าไปรายงานให้อับดุลอะซีซรู้ว่าไม่ค่อยมีงานทำ ก็ส่งไปอยู่แคมป์ไม่ให้มานั่งคุยเล่นกับไอ้ ”เปี๊ยก” ไปอยู่แคมป์ถึงเวลาก็ไปเอารถ 6 ล้อไปรองน้ำส่งตามบ้าน บ่ายๆ ก็จะเตรียมสินค้า อ้อ . .ลืมไปพอโดนส่งมาประจำแคมป์ ก็คบคิดกับเพื่อนชื่อ “แว” แวนี่ซี้กับเมียสุนทร ฉันก็คบคิดกันว่าจะค้าขาย เครื่องแกง น้ำพริกแกง ไก่แช่แข็ง เนื้อแช่แข็ง เครื่องเทศ ใบมะกรูดแห้ง ใบแมงลัก แห้ง ใบกระเพราแห้ง ก็เริ่มหาซื้อรถสักคัน ไปได้ ”พลิมัซ” มาคันนึง ราคาไม่กี่พันบาท ไม่ต้องซ่อม แต่พอใช้ๆ ไป โอ้โฮ หม้อน้ำแตก วิ่งกลับจากขายของหมดแล้ว ก็วิ่งตะแบงมาอย่างนั้นแหละ น้ำแห้งเครื่องร้อนจัดจนดับ รอจนเย็นลงนิดนึง ก็เติมน้ำ สตาร์ทได้ก็ขับไปอีก วิ่งจนถึงแคมป์นั่นแหละ เครื่องไม่ยักกะพังเน๊อะ ทนทายาด ทำการค้าขายไปด้วยดีมีลูกค้ามากขึ้น รถใช้ๆ ไปขากลับจากขายของหมดแล้วเหมือนกัน ยางหน้าขวาระเบิด ขณะนั้นขับความเร็ว 60 –70ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 100กิโลเมตร/ชั่วโมง) นึกว่ารถจะคว่ำ แต่การทรงตัวดีมาก ไม่ปัดไม่สะบัด ไม่ส่ายเลย ก็ต้องโบกรถเข้าเมืองหายางเก่าไปชวนเพื่อนๆในช็อบช่างยนต์ คนอื่นไปช่วยกันด้วย กว่าจะสำเร็จก็หลายทุ่มอยู่ ค้าขายกำลังเพลินๆ เลยไอ้ปากหมากในออฟฟิซรายงานอับดุลอะซีซรู้เข้าว่าไม่ได้ทำงานอะไรมากเอาแต่ค้าขายส่วนตัว ก็เลยโดนส่งกลับซะเลย ไอ้ปากหมาคนไทยด้วยกัน กลับมาเมืองไทย ยังตกงานอยู่ ไม่มีใครรู้จักที่ไหนเลย ก็เหลือตุ่ม (FB Toom Sunee Kodiya Ju ฮัจญะห์) นั่นแหละ ตุ่มเองก็ไม่มีเพื่อน ทุกคนเขาไปเรียนไปทำงานทำการกันหมด
ละหมาดอีดิ้ลฟิตรี่ ที่ลานโล่งกลางเมืองอัลคุบาร ละหมาดกันตั้งแต่เช้า 6 โมงเช้า

ปี 2524 ต้นปีถูกส่งกกลับมา ยังไม่ได้ทำงานอะไร ใช้เงินเก่าไปเรื่อยๆ คุยเรื่องไปขอตุ่มด้วยตัวเองให้แม่ป๋าฟังท่านทั้ง 2 ก็หัวเราะกันใหญ่ และบอกว่าใครเค้าไปขอลูกสาวด้วยตัวเองกันเล่า ฉันก็ตอบว่าฉันไม่รู้ประเพณีมุสลิม ฉันคิดว่าเป็นเหมือนทางพุทธว่าแสดงออกถึงความกล้าสู้หน้าต่อผู้ใหญ่เพราะเราจริงใจ แม่กับป๋าก็ไปหาเยาะห์ตุ่ม แต่ก็ได้รับการปฏิเสธด้วยการเฉยของเยาะห์ตุ่ม
ปลายๆ ปี กำลังนั่งคุยกันอยู่บนสะพานไม้ริมคลอง พี่เขยรองเดินมาเจอจึงบอกว่า เยาะห์ถามหา ท่านว่าจะให้เรียกผู้ใหญ่มาสู่ขอนัดแนะวันแต่งงาน ฉันแทบไม่เชื่อหูว่าพูดอย่างนั้นจริงๆ ฉันกับตุ่มก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เช้ารุ่งขึ้นตุ่มไปบอกกับแม่ป๋าว่า เยาะห์เขาอนุญาตแล้ว ให้ไปสู่ขอได้และนัดวันแต่งเลย ตุ่มพาฉันไปหาบังญี (ลูกผู้พี่เป็นอิหม่ามอยู่ที่สุเหร่าที่บ้าน) ให้สอนคำกล่าวนิกะห์ ซึ่งจดเป็นภาษาไทย บังญีอ่านให้ฟังเที่ยวเดียว แล้วฉันก็อ่านทวน แกก็บอกใช้ได้ แต่ต้องไปฝึกกล่าวบ่อยๆ และฉันก็ไม่ได้ไปหาบังญีอีกเลย
ระหว่างว่างอยู่ที่บ้านตุ้ม ก็เอาหนังสืออัลกุรอานแปลโดย ดิเรก กุลศิริสวัสดิ์ มาอ่านจนจบไปเล่มหนึ่ง และอ่านหนังสือเล่มอื่นๆ อีก ในสมัยนั้น ไม่ค่อยมีหนังสืออะไรมากนัก

ปี 2525 วันที่ 3 มกราคม 2525 เป็นวันที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์แต่งงานกับนาวาอากาศเอก วีระยุทธ ดิษยะศริน ของตุ่ม เยาะห์นัดวันที่ 5-6-7 มกราคม วันที่ 5 แม่ไปพระราชวัง ไปให้ญาติที่ทำงานจัดดอกไม้ในวังทำขันหมากให้ ซึ่งขันหมากนั้น เป็นดอกไม้ปักบนพานพุ่มสวยงาม แต่ . . .ดอกไม้บนพุ่มพานนั้นยกออกได้ข้างในบรรจุเงินสินสอดทองมั่นไว้ ในวันนิกะห์ทุกคนเดินขึ้นบ้านกันหมดทางบ้านตุ่มก็ไม่มีใครเก็บพานขึ้นบ้านกันเลย เพราะทุกคนไม่รู้ว่าพานพุ่มนั้นคือพานสินสอด
ในวันที่แห่ขันหมากมาใน 8 โมงเช้า วันที่ 7 มกราคม 2525 มีเพื่อนฝูงมาร่วมแห่กันมากเหมือนกัน ฉันแต่งชุดอาหรับคลุมเสื้อคลุมแบบบางของพี่ “ติ๊บ” (อับดุลลาติ๊ฟ) ส่วนของฉันแบบหนาพี่ติ๊บเอาไปใช้ ตุ่มก็แต่งชุดเจ้าสาวที่เพื่อน ”จิ๋ม” 2 คนกับแม่ เร่งมือตัดให้ ในเวลาไม่กี่วัน จนวันนิกะห์ พวกญาติผู้ใหญ่ๆ เขาไปนั่งรอ และซิกุรุลลอฮ์กันในสุเหร่าไปเรื่อยๆ จนขบวนขันหมากมาถึงแล้ว เชิญไปที่สุเหร่า มีคนเชิญฉันให้เข้าไปทางบังญี ซึ่งมีกีมีน และญาติผู้ใหญ่หลายคนนั่งอยู่ข้างหลังบังญี บังญีก็กล่าวประกาศภาษามลายูว่าอะไรไม่รู้ คงจะว่า ต่อไปนี้จะเป็นการนิกะห์กันระหว่าง นายอานนท์ กับนางสาวเคาะดิเยาะห์ แล้วบังญีก็ยื่นมือมาจับมือฉัน แล้วก็กล่าวภาษามลายูอีก ซึ่งคำต่อไปนี้ได้เตรี้ยมกันมาไว้แล้ว ซึ่งคำกล่าวนิกะห์ฉันกล่าวในเที่ยวเดียวซึ่งพยานทั้งหลายก็ว่าชัดเจนดีแล้ว มีเพื่อนเยาะห์คนนึงให้กล่าวอีกครั้งนึง เพราะที่กล่าวมานั้นชัดเจนดีแล้ว กลัวว่าจะฟลุ๊คในเที่ยวเดียว เอาให้มั่นใจเลยว่าถึง 2 หนก็ชัดเหมือนเดิม เสร็จจากกล่าวคำนิกะห์แล้วผู้ใหญ่เขาก็ทำการส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้อง กีมีน ซอหมัด เข้ามานั่งรวมกันอยู่หลายคนก่อนหน้าที่ฉันและตุ่มจะเข้าห้องมา พอเข้ามาถึงก็นั่งฟังกีมีนและพวกผู้ใหญ่ขอดุอาอ์ให้ แล้วก็กล่าวอวยพรให้ เสร็จจากพิธีส่งตัวแล้วก็แยกย้ายกันไปกินข้าว
ดลมาช่วยถ่ายรูป “ใจ” เมียดลก็มา และเป็นไข้ทับระดู ตุ่มต้องหาต้นกะเม็งมาตำใส่เหล้าขาวแล้วเอาให้ดื่ม สักพักหนึ่งอาการปวดก็ทุเลาลง

“ใจ” เมียดล คนนุ่งกางเกงยีนส์ เสื้อแขนยาว

พานขันหมากเป็นพานพุ่มจัดด้วยดอกกุหลาบสีชมพู มีระโยงระยางค์ด้วยดอกรัก 
ยกเปิดบรรจุเงินสินสอดไว้ข้างในได้ ฝีมือช่างในวังสวนจิตลดา

หนูปุ๊ ฉัน พี่ติ๊บ คุณแม่ พี่ชายรอง น้องคนเล็ก 

ซ้ายสุดคุณแม่ โต๊ะจูบ้านดอน ชุดอาหรับคือฉันเอง ญาติแม่ปุ๊ ตุ่ม ป๋า แม่สงบ

คอดิเยาะห์ ฉัน ต้อ(หลาน) กิ๊ก พี่ติ๋ม ใหญ่ พี่โอ ครูนุ้น กีมีน

เย็นไม่มีแขกแล้วเพราะเยาะห์ตุ่ม (FB Toom Sunee Kodiya Ju ฮัจญะห์) ท่านเลี้ยงมาตั้งแต่วันที่ 5 แล้ว พวกพ่อครัวแม่ครัวต่างก็เก็บอาหารที่เหลือใส่หม้อเล็กไว้ พวกล้างถ้วยจานก็เก็บล้างกันจนหมด ทีนี้เหลือแต่หม้อข้าว หม้อแกง ใบใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย มีอยู่ 3 – 4 ใบ มีคนมากระซิบบอกว่า หม้อข้าวหม้อแกงนั้นเป็นหน้าที่เจ้าบ่าว พอได้ยินอย่างนั้นก็เดินไปหยิบหม้อไปท่าน้ำ (สมัยนั้นน้ำในคลองยังพอใช้ได้ถึงจะไม่ใสเท่าสมัยก่อนๆ แต่มันก็ไม่ทันเน่า ก่อนวันแต่งทางบ้านเขาทำท่าน้ำไว้ สะพานริมคลองก็เป็นสะพานไม้ ไม่สูงจากน้ำมากนัก กำลังล้างถูหม้อข้าวอยู่ก็มีเด็กเอาหม้ออื่นๆมาให้ล้างอีก กว่าจะล้างขัดถูหมดทุกใบก็ปาเข้าไปบ่ายแล้ว นี่ขนาดช่างแกงเขาเอาผงซักฟอกทาหม้อไว้นะ ยังกว่าจะล้างเสร็จเอาตั้งบ่าย ขนหม้อขึ้นไปเก็บคว่ำไว้ใต้ถุนบ้าน ก็มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาช่วยขนถ้วยจานส่งคืนสุเหร่า ถ้วยจานล้างไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นๆ วันนี้เลยแห้งดีก็ลำเลียงส่งคืน
วันรุ่งขึ้น 8 มกราคม ตื่นเช้ามาละหมาด เอากาแฟจากตรงมะนั่งประจำไปนั่งกินกาแฟในห้อง สายนิดก็ออกมาไหว้เยาะห์กับมะ ก็แค่มาหาท่านทั้ง 2 แล้วก็ยะบะห์ใส่สตางค์ไว้ในมือด้วย 200.- พอยะบะห์ปั๊บเงินก็ติดมือฉันเลย  แล้วก็หันมายะบะห์มะ มะรับไหว้ตุ่มด้วยแหวนเพชรเม็ดใหญ่ แล้วก็นั่งอยู่ที่นั่นก่อน เยาะห์ท่านก็อวยพรขอให้อยู่กันนานๆ ขอให้มีบะรอกัต เราะห์มัต นี๊อะมัต
เก็บข้าวของเครื่องใช้ส่งเข้าสุเหร่าหมดแล้ว ก็ขึ้นบ้าน ตุ่มให้ซักพรมผืนเบ้อเริ่มเลย ใช้น้ำฉีดๆ แล้วก็ใส่แฟ็บนิดหน่อย ย่ำ ๆ ๆ แล้วก็ฉีดน้ำล้างฟองออก แต่ตอนตาก ไม่เคยตาก ก็เดินไปถามตุ่มในบ้านว่าตากอย่างไร ตุ่มก็ตอบว่า “ใครเขาก็ตากกันเป็นทั้งนั้นแหละ” คำตอบเข่นนี้ทำเอาฉันสะอึกไปเลย แล้วตุ่มก็ไม่ได้มาและไม่ได้ทำให้ดูด้วย  ฉันก็ยักแย่ยักยัน จับมุมทีละมุม ยกขึ้นแขวนบนราวตากผ้า เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด ที่แรกที่ถามก็เพราะไม่อยากเปียกน้ำ
ประมาณเดือนมีนาคมช่วงปลายๆ เขยใหญ่มาบอกข่าวว่า ทางน้องชายแกมีงานซาอุฯ บอกก่อนเลยว่ากลางทะเลทรายจะไปไหมไม่เก็บค่าหัว ไปเป็นโฟร์แมนให้หน่อย ก็ตกลงจะไป เคยนึกคิดมาตั้งแต่เหยียบบนผืนทรายปีแรกๆ แล้วว่า ในชีวิตนี้อยากได้งานที่มันต้องอยู่กลางทะเลทราย มาตอนนี้ก็ได้สมประสงค์แล้ว อัลฮัมดุ ลิลาฮิ ขอบคุณอัลลอฮ์ที่กรุณาในความประสงค์ที่ฉันอยากมาทำงานกลางทะเลทราย เพราะอยากรู้ว่าชีวิคกลางทะเลทรายจะเป็นอย่างไร
จัดการยื่นเอกสารรูปถ่ายเรียบร้อยก็คอยวันนัด ต้นๆ เมษายน 2525 แต่งงานกันมาได้ 3 เดือนเอง ก็จะเดินทางไปซาอุฯอีกแล้ว พอถึงวันบิน ตุ่มไปส่งที่สนามบิน ฉันก็ได้บินกับสายซาอุแอร์ไลน์ บินตรงลงดะห์รานเลย ไปกันทั้งหมด 17 คน มีฉันและสันติ กะระนา (มุสลิม) ไปเป็นโฟร์แมน บิน 22.00นาฬิกา ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ถึงดะห์รานต้องลบเวลาออกจากเวลาบ้านเรา 4 ชั่วโมง เวลาที่ดะห์รานคือ 01.00 น.
คอดิเยาะห์มาส่งที่ดอนเมือง ต้นเดือนเมษายน 2525 บินไปซาอุฯอีก กับบริษัท
เวสต์เทิร์นจีโอฟิสิคัล สำรวจหาบ่อน้ำมัน โ้วยระบบ Seismic Wave


พอถึงดะห์ราน ظَهْرَانَ ทางบริษัทมารับตัวไปส่งห้องพักเป็นห้องโล่งๆ ใหญ่โตขนาด 3-4 คูหา มีแอร์วินโดว์ 2 ตัว เช้ามามีรถมารับไปทำทะเบียนประวัติ กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงแล้ว เสร็จแล้วก็ส่งกลับห้องพัก แล้วบอกว่าจะไปเดินซื้อของใช้ส่วนตัวกันเสียก่อนเด๋ยวไปที่ทำงานแล้วจะไม่มีโอกาสซื้อ (ฉันและสันติก็รู้สึกทะแม่ง ทะแม่ง ว่าไปแล้วจะไม่มีโอกาสซื้อ) พวกเราก็ไปหาซื้อของใช้จำเป็นพื้นฐาน สบู่ แชมพูสระผม ยาสีฟัน ผงซักฟอก บุหรี่ กระดาษเขียนและซองจดหมาย ปากกา
เช้าวันรุ่งขึ้น มีรถบัสมารับ ออกเดินทางกันโดยไม่รู้เลยว่าที่ทำงานอยู่ที่ไหน เดินทางไปเรื่อยๆ พอกำลังเมื่อยก็เริ่มออกจากถนนหลวง เข้าสู่ท้องทะเลทราย วิ่งไปกระโดกกระเดกไป เพราะทะเลทรายไม่มีถนน มีแต่ร่องรอยรถวิ่งเป็นทางจางๆ สักพักใหญ่ๆ ก็ถึงกองคาราวาน ตู้นอนคอนเทนเนอร์มีลูกล้อ 4 ล้อ เรียงรายกันไม่เป็นแถว จะออกมาในรูปสี่เหลี่ยม 3 ด้าน ด้านที่ 4 จะเป็นเครื่องปั่นไฟ ถัดออกไปจะเป็นเทรเลอร์รถน้ำ มีตู้เป็นโรงครัวหนึ่งตู้ มีเตาไฟฟ้า ตู้อบไฟฟ้า ตู้เย็นใบใหญ่ ตู้แช่นอนใบใหญ่  ตอนมาถึงเต้นท์ถูกกางไว้ให้แล้ว เตียงสปริงแบบพับได้คนละเตียง ฟูกบางๆ คนละหนึ่งชิ้น ผ้าห่มแบบสักหลาดไม่หนานักผ้าปูที่นอน (ต้องไปหาเอาลังไม้อัดมาปูบนสปริง ไม่อย่างนั้น มันจะยุบเวลานอนแล้วปวดหลัง ได้เต้นท์ ได้เตียงกันแล้ว สันติมีปัญหาว่าอยู่ไม่ได้ โวยวายกับ แจ็ค เอ. บูล Camp Boss ชาว Canadian มาถึงคาราวานนี้แล้วพึ่งได้รู้ว่าชื่อ “เวสเทอร์น จีโอฟิสิคอล Western Geophisical) โวยกันอยู่พักหนึ่งว่า ใบสัญญาว่าจ้างงาน ไม่ได้ระบุว่าให้มาทำงานกลางทะเลทรายแบบนี้ แจ็ค ก็วิทยุเข้าเมือง ติดต่อกันสักพัก ก็ให้สันติเข้าไปทำงานที่สำนักงานในเมืองได้ แล้วก็ส่งขึ้นรถแวนที่จะต้องเข้าเมืองเที่ยวเย็นนี้เลย อาหารเย็นนี้คืออาหารปากีสถาน โรตีกับแกงถั่วลันเตาเม็ดๆ ใส่หอมใหญ่ มะเขือเทศ เครื่องเทศ เกลือออกเค็มๆนิดๆ กินเสร็จก็ไปคุยกับแจ็ค ว่าครัวไทยจะทำได้ตรงไหน ก็บุกขึ้นโรงครัวพร้อมกุ๊กปากีสถาน แบ่งที่ทำครัวกันได้แล้ว ก็ตกลงได้อีกว่า กุ๊กปากีสถานอนุญาตให้กุ๊กไทย ชื่อสมหมายคนอยุธยา ใช้วัสดุอุปกรณ์ใดๆได้ตามสบาย พริก หอม กระเทียม มันฝรั่ง ก็ให้หยิบใช้ได้ ตกลงกันเสร็จ ก็มาตกลงกับแจ็ค เรื่องอาหารวัตถุดิบ ข้าวสาร เครื่องแกง น้ำมันพืช น้ำปลา ผักดิบต่างๆ  พวกผักแจ็คก็ไปเปิดตู้เย็นให้ดูว่ามีผักดิบแค่นี้ คือ แตงญี่ปุ่น หอมกระเทียม มะเขือเทศสด ดอกกะหล่ำปลี ใบกะหล่ำ ผักสลัด ถั่วสดถั่วแขก มะเขือเปราะไทย ฟักเขียว ฯลฯ ส่งรายชื่อให้แจ็คแล้ววิทยุเข้าเมืองให้ฝ่ายจัดซื้อจัดการหามาตามรายการอาหารไทย
ค่ำมืดแล้วก็มืดจริงๆ มีแสงไฟฟ้าจากหลอดไฟในเต้นท์เล็ดรอดออกมาบ้างก็พอสว่างแถวหน้าประตูเต้นท์ ตอนเย็น ๆ ไปเดินหาแกลลอนเปล่ามากรอกน้ำเอาไปใช้ออกทุ่ง (ไปอุจจาระ ปัสสาวะ) พวกฝรั่งนอนตู้นอนมีแอร์ มีทำงานกันอยู่ 5- 6 คน
เช้าวันรุ่งขึ้น ออกทำงาน 7.00 น. เลิก 16.00 + (โอที 2 ชั่วโมง) ก็ต้องพึ่งอาหารปากีสถานอีกมื้อแล้วละ พวกเราคนไทยได้อยู่Front Line ฟร็อนทฺไลน์ แผนกโปรยสาย “จีโอ โฟน” ทางแผนกกองหลังจะเก็บแล้วส่งขึ้นรถขนย้ายมาให้เรากองหน้า เวลาโปรยสายจีโอโฟนแล้วก็ต้องใช้จอบเล็กๆ ขุดทรายแล้วฝังหัวจีโอโฟนลงไป พวกรถสั่นสะเทือน 3 คันมาตามหลังเราเรื่อยๆ รถสั่นสะเทือนมันจะทำเสียงให้เกิดบนพื้นดิน พื้นทราย หรือพื้นหินบางๆ เสียงจะวิ่งลงไปใต้ผืนดิน จนไปกระทบชั้นหินทรายเข้าแล้วสะท้อนคลื่นเสียงกลับขึ้นมาที่หัวจีโอโฟน จีโอโฟนจะแปลงสัญญาณส่งเข้าคอมพิวเตอร์ในรถโมบาย
เครื่องปั่นไฟฟ้าติดเครื่องปั่นไว้ทั้งวันทั้งคืน จะมี 2 เครื่องยนต์ 
รถถังน้ำมันจอดอยู่ข้างหลัง ปั่นไฟ 110 โวลท์
โรงครัวยามค่ำ 
Jack A. Bulls. Canadian. Camp manager.

Bird Eye View Work Time.

ชุดทำงานช่วงจะเข้าหน้าร้อน

ชุดทำงานหน้าฤดูพายุทราย หน้าร้อนจัดๆ ต้องมิดชิด กันแดดกันลม กันฝุ่นทราย

ชุดนอนสบายๆ พื้นทรายนุ่มเท้าดีจริงๆ แกลลอนน้ำต้องมีคนละใบสองใบ ใช้ไปทุ่ง
ตอนเช้าจะใส่รองเท้าต้องเคาะๆ ก่อน ทะเลทรายมีแมลงป่องเยอะ ตัวดำพิษไม่แรงเท่า
ตัวเขียวอ่อน พิษแรงมาก ปวดขึ้นสมองเลย

เดินสำรวจงาน คนงานทิ้งสายเสีๆไว้ ไม่เก็บขึ้นรถ ส่งซ่อม

หน้าหนาว หนาวเย็นมาก ลมก็แรง ใส่กางเกงวอร์มรองเท้าผ้าไบ หนาวขามากๆ เลย

Tea Break 9โมงโดยประมาณ จะได้เวลาพักเบรค จะต้มน้ำชาใส่นมข้นจืด ของชาวปากีสถาน 
ฉันอาศัยกินด้วย พวกลูกน้องคนอิสานไม่กิน เพราะนมจะทำให้ถ่ายท้อง
ไปอยู่บางที่ไม่มีฟืน ก็จะใช้ขี้อูฐ ให้ไฟแรงดีเหมือนกัน

ของเล่นกลางทะเลทราย

แนวสายจีโอโฟนที่วางสายเรียงรายไปไกล

หัวจีโอโฟน เป็นตัวรับสัญญาณคลื่นเสียงสะท้อนกลับขึ้นมาจากชั้นหินทรายใต้ดิน

รถ Vibrater ทำงานเป็นทีก จะปลดปล่อยน้ำหนักผ่านเครื่องสั่น เพื่อส่ง
สัญญาณเสียงสะเทือนลงไปใต้ดิน แล้วสะท้อนกลับขึ้นมารับสัญญาณ
ด้วยหัวจีโอโฟน ระบบเสียสะท้อนนี้ เรียกว่า ระบบ Seismic Wave
อะห์หมัด ผู้ช่วยอามีร (อามีรคือเจ้าหน้าที่ราชการ ทำหน้าที่เจรจา
เมื่องานของเราพาดสายผ่าน แคมป์บัดวี)

พื้นผิวทรายหลังพายุทะเลทรายผ่านพ้นไป ดูสวยงามตาดี
เม็ดทรายปลิวว่อนก่อนพายุทรายจะมาเต็มที่
ลูกกระต่ายน้อยพลัดหลงกับแม่ ตอนเราทำงานวางสายพาดผ่านรังมัน


  ถุงใส่น้ำ จะมีคนละ2 – 3 ใบ ใส่น้ำแล้วแขวนเอาไว้ น้ำจะค่อยซึมออกมาทีละน้อย
ทะเลทรายจะมีลมทุกวัน ช่วยพัดพาเอาความชื้นจากถุงน้ำไป น้ำในถุงก็จะซึม
ออกมาอีก ทำให้น้ำในถุงนั้นเย็นพอได้ดื่มกินอย่างสดชื่น 

อาหารมีพ่อครัวสมหมายทำให้กิน มีผลไม้ แอปเปิ้ล  ส้มซันควิก กล้วยหอม (Columbia) อย่างใดอย่างหนึ่งทุกมื้อ เพราะจะมีรถเข้าเมืองทุกวัน พวกจดหมายคนรถก็จะนำมาจากสำนักงานมาให้ น้ำดื่มก็มีรถบรรทุกไปเอามาไว้ให้และสำรองเอาไว้อีกหนึ่งเทรเลอร์ น้ำใช้ก็จะขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คาราวานเราไปตั้งอยู่ ทุกสิ้นเดือนเงินเดือนออก วันรุ่งขึ้นฉันก็จะเข้าเมืองซื้อ ดราฟท์ นำเงินลูกน้องทุกคนเขียนที่อยู่บ้าน เลขบัญชี และเก็บค่าส่งคนละ 5 รียาล (35บาทไทย) อาศัยติดรถเข้าเมือง รีบๆ ซื้อ-ส่งดราฟท์เสร็จก็จะตระเวนซื้อบุหรี่เกือบทุกคนสูบบุหรี่ ซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถ้ากองคารานเราไปอยู่ห่างไกลและทุระกันดารมากก็จะใช้เครื่องบินเล็ก นั่งได้สัก5-6คน
ทำงานกัน 7 วันเลย วันศุกร์เป็นโอที เวลาที่เริ่มงานอย่างเป็นทางการคือ เวลาล้อรถหมุนออกจากแคมป์ไปไซท์งาน เวลาเลิก งานอย่างเป็นทางการคือเวลาที่รถจอดถึงแคมป์
หน้าที่การงานฉันโฟร์แมนไทยก็เพียงเป็นล่ามแปลภาษาให้พวกคนงานไทย เพราะโฟร์แมนใหญ่ชาวปากีมันสั่งลูกน้องตนไทยให้ทำงานตามมันได้ ฉันไม่ได้ทำอะไร ได้แต่เดิน เดิน เดิน เล่นไปบนท้องทะเลทราย ได้เวลาน้ำชาก็จะกลับมากินร่วมกันกับพวกปากี แล้วก็ออกเดินเล่นต่อ จนเที่ยงก็กลับมากินข้าวถุงและผลไม้ และน้ำผลไม้กระป๋องจากโรงครัว ลูกน้องคนสนิท “สุพิน พหลทัพ จากอุดร” เป็นคนเตรียมให้ทุกวัน ถุงน้ำสุพินก็จะเตรียมกรอกไว้ให้ 2 ถุง ของสุพินมันเอง ก็2 ถุง ที่รถรับ-ส่งนี้จะมีแกลลอนเปล่าไว้ 2-3 ใบ เผื่อใครจะทุ่ง น้ำดื่มในแท้งค์บนรถใบเบ้อเริ่ม กรอกเอาไปทุ่งได้ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันออกไปเดินเล่นตามท้องทะเลทรายปกติทุกวัน แต่บังเอิญในนี้ท้องเสีย อยู่ไกลจากรถแต่มองเห็นกันอยู่ มองเห็นว่ารถไม่อยู่วิ่งไปไหนไม่รู้ จะกลับไปเอาแกลลอนน้ำซะหน่อย เอาไงดี ปวดท้องมทากขึ้นๆ ตัดสินใจเดินหน้าไหอีกนิด ถอดกางเกงขุดหลุมทรายนิดหน่อย นั่งปลดทุกข์มันตรงนี้แหละ พอหมดทุกข์ ก็มาคิดสิว่า จะทำอย่างไรดีน๊อ อืม ..ตัดสินใจได้แล้ว ว่าควักทรายนั้นแหละใส่ก้น ควักๆๆๆๆ จนก้นแห้งดีแล้ว มือที่คิดว่าเปื้อนอึด้วยนั้นก็จุ่มๆๆมือลงในผืนทรายหลายๆๆๆหน ดมดูว่าเหม็นไหม ปรากฏว่าไม่มีกลิ่นติดแฮ๊ะ ก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ เที่ยงก็ย้อนกลับจะไปกินข้าว พอมาถึงที่นั่งปลดทุกข์เมื่อกี๊เนี๊ย เห็นกองอึตัวเองเริ่มดำๆแล้วเพราะอากาศแห้งแล้งและร้อนมาก ตัวด้วงกำลังควักอึ คลึงๆ กลื้งๆ ไปบนพื้นทรายจนเป็นก้อนกลม แล้วก็ถอยหลังเขนไปรังมัน แต่ไม่ได้ติดตามไปดูนะว่ารังมันอยู่ไหน หิวข้าวรีบเดินกลับไปที่รถ ก็ล้างมือล้างไม้
เดือนเราะมะฎอน จะเข้างาน 6.00 และเลิก 14.00 น. ทำงานมาตรฐาน 6 ชั่วโมง (บริษัทลดให้ 2 ชั่วโมง) แต่ทำโอทีอีก 2 ชั่วโมง (ได้ค่าแรงเพิ่มเป็น 4 ชั่วโมง โอทีปกติจะได้แค่ 2 ชั่วโมง) ลูกน้องคนพุทธได้เท่ากันหมด พ่อครัวชาวปากีจะทอดโรตีเผื่อคนงานไทยทุกวัน เพราะคนงานไทยชอบไปขอมากิน การทำงาน ถ้าคาราวานเราทำการวางสายจีโอโฟนผ่าน เต้นท์บัดวี (เบดุอีน) بَدْوِي  (พวกอาหรับทะเลทรายเร่ร่อนเลี้ยงปสุสัตว์) อามีร اَمِيْرَ (อ่านว่า อา-มี้ด) จะไปเจราจาให้ขยับเต้นท์ให้พ้นรัศมีสายจีโอโฟน แต่ถ้าไม่พาดผ่านกลางเต้นท์ก็จะบอกไม่ต้องย้ายเต้นท์ เวลาเราไปทำงานใกล้พวกเขาเราจะรีบๆทำแล้วออกไอยู่ห่างๆ พวกคนงานไทยชอบให้โรตี แอปเปิ้ล น้ำผลไม้กับพวกเด็กๆ บัดวี โดยเดินเข้าไป ใกล้ที่สุดก็แค่ 100เมตร แล้ววางลังกระดาษลงบนพื้น พวกเราไปไกลแล้วพวกเด็กๆ จึงจะออกมาเอาลังอาหารของเราเข้าไปในเต้นท์
เดือนเราะมะฎอน พุธที่ 23 มิถุนายน 2525 ในแคมป์มีฉันและชาฟิอีช่างยนต์ที่เป็นไทยมุสลิม ฉันถือศีล-อดด้วยการเตรียมอาหารไว้ตอนกลางคืน ตีสี่จะปลุกนาฬิกาตื่นมากินอาหารซะฮู้ร السحور Sahoor ความหมายคืออาหารมื้อแรกของวันในการถือศีล-อด แต่ละวันในเดือนเราะมะฎอน The first meal to consuming early day before Dawn in ramadan month. อะซานประมาณตีสี่กว่าๆ (ไม่มีใครอะซาน มีแต่วิทยุคลื่น AM ) จะต้องไปละหมาดรวมกับพวกปากีที่เต้นท์ปากี อยู่ติดๆ กันนั่นแหละ ละหมาดเสร็จก็นั่งเสวนากันไป พวกปากีนี่เขาละหมาด สุนัตมาก กลางวันก่อนละหมาดดุฮรี่ก็จะละหมาดสุนัต 4 เราะกะอัต แล้วละมหาดดุฮรี่ และละหมาดสุนัต 2 + 2 และนั่งอีก 2 เราะกะอัต รวมเป็น 6 เราะกะอัต วันศุกร์ไม่มีการละหมาดวันศุกร์ เพราะอยู่ในภาวะเดินทางกึ่งมีที่อยู่หลับนอน ตอนเย็น (มักริบ مَغْرَبِ คือเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินอย่างสมบูร์) แก้บวช (ละศีล-อด บริโภคอาหารน้ำและใช้ชีวิตปกติได้) ฉันจะไปแก้บวชกับพวกเพ่อครัวเยเมน (เยเมน يَمَنِ Yemen คือ ชาวอาหรับเชื้อสายเยเมน อยู่ทางตอนใต้ของประเทศซาอุดิ อารอเบีย) ที่ทำอาหารให้ฝรั่งกิน (ในแคมป์มีเยเมน ทำงานด้วยกัน 4 – 5 คน) และบางวันอามีรก็มาเชิญเยเมน ไปแก้บวชด้วยกัน
เข้าเวลามักริบ ไม่ต้องมีใครบอกเพราะมองเห็นตะวันตกดินด้วยตัวเองทุกคน บางวันมีพายุทราย ฟ้ามืดครึ้มไปหมด ก็จะดูนาฬิกาเปรียบเทียบเอา ขั้นแรกที่แก้บวชคือ อ่าน บิสมิลลา ฮิรเราะห์ มา นิรเราะฮีม แล้วก็ดื่มนม กินอินทผาลัม กินน้ำ ไปละหมาดมักริบกันก่อน ละหมาดเสร็จต้องรีบวิ่งปรื๋อไปทุ่ง ยังพอมีความสว่างอยู่ค้างฟ้าอีกมาก ไม่เหมือนบ้านเรามักริบแล้วจะค่อยๆ มืดลง มืดลง แต่ที่ซาอุฯ มักริบแล้วจะยังสว่างฟ้ายังขาวอยู่อีกนาน เวลามักริบกับอิชาอ์บ้านเราห่างกันประมาณ ชั่วโมงเดียว แต่ที่ซาอุฯนี่ จะห่างกันประมาณสองชั่วโมง ไปทุ่งกลับมาอาบน้ำละหมาดใหม่ แล้วกินอาหารเย็นส่วนใหญ่เป็น แกงเยเมนใส่เนื้อ ขนมปังอบเอง คล้ายคุบุสแต่กระด้างกว่า มีผลไม้กระป๋องและผลไม้สดอีกด้วย ได้เวลาละหมาดอิชาอ์ก็ละหมาดรวมกับเยเมน หรือไม่ก็เต้นท์อามีร หรือไม่ก็เต้นท์ปากี หลังละหมาดอิชาอ์ก็จะแวะเวียนไปตามเต้นท์คนไทย หมดเดือนเราะมะฎอน วันอีดดิ้ล ฟิตรี่ได้หยุดงานได้ค่าแรง
อยู่ๆไปนานๆ พวกลูกน้องคิดอ่านหมักเหล้ากินกัน สมรู้ร่วมคิดกับสมหมายพ่อครัวแอบเพิ่มเติมน้ำผลไม้กระป๋องอย่างกระป๋องใหญ่ ในใบสั่งซื้ออาหาร ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกมัน แต่ยิ่งนานเข้าบ่อยเข้า ก็รู้ถึงพวกฝรั่ง มันก็มาร่วมวงด้วย ฉันเห็นท่าไม่ดีก็เตือนทุกคนที่มากินเหล้ากันนั้นว่า เป็นการผิดกฎหมายนะ ถ้าอามีรจับได้ฉันไม่รับรู้ด้วยนะ
และอีกอย่าง พวกมันกินเหล้ากันไม่ว่า แต่ดันทะลึ่งแอบเอาเนื้อมาทำลาบกินกัน เมาแล้วลาม ฉันจับได้สั่งสมานแน่นหนาว่า ถ้าพวกมันมาขอเนื้ออีกบอกฉันด้วย แล้วก็จริงๆ พวกมันแอบมาขอเนื้ออีก เมากันแล้ว สมานมาบอก ฉันก็เดินตามสมานไปหยิบรองเท้าแตะของพวกมัน ดูที่นิ่มๆ หน่อย ขึ้นโรงครัวสมานตามมาติดๆ หั่นรองเท้าแตะเป็นชิ้นพอดีกับเนื้อให้สมานดูแล้วสั่งให้สมานทำลาบให้พวกมันกินกัน ไอ้พวกนั้นเมาไม่รู้เรื่องก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย หลายสัปดาห์ต่อมา ความแตก คงจะสมานน่นแหละไปบอกกับพวกคนงาน ว่าโดนกินลายรองเท้าแตะ แต่พวกคนงานมันก็ไม่กล้าโวยวายออะไรเพราะมันทำผิดทุกกระทงอยู่แล้ว เพียงแต่พวกมันเลิกขอเนื้อมากินกันเองอีก
เรื่องยารักษาโรคพื้นฐาน แก้ปวดแก้ไข้ แก้ท้องร่วง แก้ปวดในท้องจากแก็สกรดเกิน เกลือแร่เม็ดแก้เพลียแดดเพลียลม ยาแก้หวัดน้ำมูกไหล ยาแก้พิษแมลงป่อง ยาพวกนี้มันเคยมีอยู่ประจำในห้องวิทยุ ฉันเข้าไปเอามาจำหน่ายแจกจ่าย (ไม่ได้ขาย) ให้คนที่ป่วย มีคนงานปากีคนหนึ่งมันป่วยได้ทุกวี่ทุกวัน (แต่จริงคือป่วยบ่อย แต่ไม่ทุกวัน เขียนบรรยายให้ดูว่าป่วยบ่อย) ปวดหัว เป็นไข้ ปวดฟัน ให้ยาพาราไป 2 เม็ดกินเลย กับเอาไปเต้นท์กินอีกทีหลัง 4 ชั่วโมงนะ มันจะมาขอยาบ่อย จนอยู่มาวันหนึ่ง มันมาขอยาบอกวาสปวดท้อง เดินเอามือกุมท้องมาเลย มันเรียกเป็นภาษาไทยว่า “หัวหน้า” เอามือชี้ที่ท้องแล้วก็ทำตัวก้มๆ มือกุมท้องไว้ ฉันก็ปีนขึ้นไปบนรถ หาในกล่องยา ยาแก้ปวดท้อง (ลดกรด) แต่หาไม่ได้ ก็หยิบเอาพารานั่นแหละมาให้ มันก็กินหน้าเฉย แล้วก็เดินกลับไปทำงาน พอหมดงานมานั่งพัก ถามมันว่าดีขึ้นไหม มันตอบภาษาปากีว่า “ทีเก” สบายดี เดือนเราะมะฎอนผ่านพ้นไป เดือนหัจญ์ก็มาถึงได้หยุดวันอีดิ้ล อัฎฮา หนึ่งวันได้ค่าแรง
พวกปากีได้กลับไปพักร้อนที่บ้านเกิดกันหลายคน บางคนก็ซื้อผ้าโพกหัวมาฝากฉัน เป็นผ้านิ่มๆ ขาวมีลายแถบดำเล็กๆ แบบผ้าหนาหน่อยเนื้อผ้าเป็นเส้นด้ายแบบไหมพรมแต่แน่นกว่ามาฝาก ฉันก็ขอบใจในความมีน้ำใจ เพราะจะเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว พอถึงเวลาหน้าหนาวก็ใช้ห่มตัวกันแดดกันลมได้ดีทีเดียว

ปี 2526  28 มีนาคม  ถึงทีฉันบ้างแล้วที่จะได้บินกลับบ้าน ได้กลับพร้อมกับชาฟิอี กลับมาบ้านก็ช่วยเยาะห์ตุ่มทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ เท่าที่ทำได้ แต่ส่วนใหญ่ทำได้หมดแหละ
มีอยู่วันหนึ่งตุ่มชวนไปนราธิวาส ไปส่ง “บี๋” ไปบ้านเจ้าบ่าว นั่งรถไปไม่เท่าไร ตุ่มบ่นว่า “ไม่สบายเลย วิงเวียน และอ่อนแรงมากเลย” ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ยาก็ไม่ได้เอาติดตัวมาเลยสักอย่างเดียว ตุ่มนอนหนุนตักฉันจนไปถึงนราธิวาสเลย พอลงรถก็ยังบ่นๆ ว่า ยังเวียนๆ หัวนิดหน่อย พอเสร็จจากงานส่งตัวเจ้าสาว ก็มีลูกบาบอ (บาบอแปลว่าพ่อ ซึ่งเขาทำงานเป็นผู้พิจารณาคดีร่วมกับศาลยุติธรรม) พาไปเที่ยวโคตาบารู มาเลเซีย ซื้อถ้วยจาน “Acorox” อยู่บ้านทำโน่นทำนี่ช่วงพักร้อนเพลินไปหน่อย อยู่เกินวันที่กำหนดกลับไปครึ่งเดือน อยู่ทั้งหมด45วัน บริษัทให้ 30 วัน ไปถึงแคมป์จนเงินเดือน ออก จึงได้รู้ว่า ค่าแรงไม่ขึ้น คนอื่นๆ เขาขึ้นกันคนละ 50 – 100 รียาล แต่ฉันก็ไม่ได้วิตกอะไร อยู่ๆ ต่อมา ฉันไม่รู้ว่าเป็นอะไร พอถึงเวลาพักเบรกช่วงเช้า จะต้องไปเก็บขี้อูฐเอามาทำเชื้อไฟ ต้มน้ำชากินกัน (ขี้อูฐนำมาเป็นเชื้อเพลิงได้ดีไฟ
แรง เผาไหม้แล้วก็ไม่มีกลิ่นเหม็นใดๆ บางโครงการณ์จะไม่มีฟืน) ฉันเกิด  อาการคลื่นไส้อย่างมากเวลาเก็บขี้อูฐ เป็นอยู่นานหลายวัน จำได้ว่า เป็นอย่างนี้เป็นเดือนเลยละ ก็เขียนจดหมายคุยกับตุ่มทุกสัปดาห์เป็นประจำอยู่แล้ว ก็เล่าอาการให้ตุ่มรู้ แต่ก็ไม่ได้ มีปัญหาอะไรเกินเลยไปกว่านี้
จนตุ่มเขียนจดหมายมาบอกว่าท้องก็ปาเข้าไปหลายเดือนแล้ว ฉันก็จึงถามตุ่มไปว่า เนไปได้ไหมที่แพ้ท้องแทน ให้ถาม มะ (มะ คือ แม่) ดูที ผลก็ คือ มีการแพ้ท้องแทนกันได้จริงๆ และฉันก็เป็นมาแล้ว
ปี 2526 นี้มีน้ำท่วมกรุงเทพเกิดขึ้น

ปี 2527  ต้นเดือนมกราคม ดล (น้องชายที่เป็นมุสลิมกับฉัน) ได้มาทำงานที่ “เวสเทอร์น จีโอฟิสิคอลนี้ด้วย ประมาณเดือนเมษายน พวกคนงาน มันจับหมาจิ้งจอกมาได้ตัวหนึ่ง ผูกล่ามไว้สองวันแล้ว ได้ยินพวกมันว่าจะฆ่าเอเนื้อมากินกัน ฉันก็ห้ามไว้ และบอกให้มันปล่อยไป พวกมันทำมึนเฉย แล้วตกเย็นมันก็แอบฆ่ามากินกันจริงๆ ฉันเห็นว่ามันไม่เชื่อถือฉันแล้ว เพราะมันสนิทกับโฟร์แมนปากีแล้ว มันก็หันหัวไปซูฮก เอาอก เอาใจโฟร์แมนปากี ก็ช่างมัน ฉันจึงตัดสินใจลากลับบ้าน คิดถึงลูก อยากเห็นหน้าลูกด้วย ในประมาณ สิ้นเดือนเมษายน
กลับถึงบ้านแล้วเห็นลูกมีอะไรเปื้อนที่ใบหู ดูๆ แล้วมันคือคราบไคล ตุ่มอาบน้ำลูกไม่เป็น ฉันจึงอุ้มขึ้นมาอาบน้ำใหม่ เอามือซ้ายรองหัวเอาไว้ เอาน้ำ (ไม่ต้องอุ่นหรอกเพราะเด็กจะมีพื้นผิวหนังมากกว่าน้ำหนักตัวเองทำให้ระบายความร้อนหรือรับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงได้ดีและฉับไว) ใส่กะละมังไม่ต้องมาก เอาแชมพูเด็กมาถูใบหู ถูไป ล้างไป ในสะดืออีกต้องค่อยๆ ล้างถู
ขณะอยู่บ้านตุ่มนี้ก็ไม่ได้ทำงานอะไร ได้แต่เยาะห์ตุ่มซ่อมแซมระบบท่อน้ำ และปั้มน้ำใต้บาดาล ซึ่งมันเสียบ่อย ตั้งใช้รอกชักขึ้นมาที่ละน้อยแล้วล็อกไว้ด้วยประแจแป็ป และค่อยๆ ถอดทีละท่อนแป็ป บางทีก็ซ่อมมิเตอร์น้ำ ซ่อมท่อน้ำที่ท่อมันหักขาดคาเกลียวอยู่ ทีแรกก็ทำไม่เป็นหรอก เยาะห์บอกวิธีให้คือใช้ใบเลื่อยที่ไม่ต้องใส่โครง ค่อยๆ ตัดมันเข้าไปในเกลียวนั่นแหละ เกลียวมันจะขาดก็ช่างมัน เดี๋ยวเอาสีจาดกับเชือกป่านยาเกลียวไว้ก็ใช้ได้
ปลายๆ ปีอยู่บ้านกำลังทำท่อแป็ปอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ มีแขกซาอุฯมาแวะท่าน้ำแล้วถามว่าขึ้นไปได้ไหม ก็พยักหน้าตอบว่าได้ ขึ้นมาก็จับมือ ถามสารทุกข์กัน มองดูบ้านทรงไทยแล้วบอกว่า ชอบ สวยดี ขอขึ้นไปชมบนบ้านได้ไหม ฉันก็ตอบว่าได้ ก็นำขึ้นไปบนบ้าน (ไม่ได้ถอดรองเท้าหนังด้วย) เห็นเยาะห์กำลังนอนอยู่กับพื้นไม้กระดาน มะ นั่งที่เดิมคือ ประตูระหว่างครัวกับห้องโถง คุยโน่นคุยนี่ ถามโน่นถสนี่สักพักใหญ่ๆ ก็ลากลับ ให้สลามแล้ก็เดินออกขากบ้านลงบันไดไปถึงศาลาท่าน้ำก็ถามว่า เยาะห์เป็นอะไร ก็ตอบว่า ไม่สบาย เขาก็ควักเงินให้เยาะห์กับมะ คนละพันบาทโดยการบอกกำกับมาด้วยว่าของเยาะห์-มะคนละพัน และแยกให้ฉันโดยบอกว่า นี่เฉพาะคุณ 500บาท  500, 1000นึงสมัยนั้นเยอะ
มากแล้ว เอาไปให้เยาะห์กับมะ ตามที่สั่งมา เยาะห์กับมะ งง แล้วถามว่าเงินอะไร ฉันก็บอกว่าอาหรับเขาฮะดิยะห์มาให้ หลังจากนั้นมีคนไปล่ำลือกันว่า ญีแอนพาอาหรับขึ้นบ้านคุยปร๋อเลย  ดูๆ เหตุการณ์หลังจากอาหรับมาบ้าน เยาะห็มองฉันดีขึ้น เรียกใช้บ่อยขึ้น เล่าเรื่องราวต่างในอดีตมากขึ้น ฉันก็รู้สึกดีขึ้นจากคำกล่าวของท่านเมื่อก่อนว่า “ทองชุบกับทองแท้ มันมีค่ามีราคาต่างกัน” แต่ฉันก็พิสูจน์แล้วว่าละหมาดฉันก็ครบถ้วนสมบูรณ์ การงานในบ้านทำให้ทุกอย่าง และมาพูดคุยกับอาหรับได้ด้วยเลยพาให้ดูดีขึ้นมาก หลังๆ จากนี้ท่านจะไปโรงพยาบาลก็จะชวนฉันไปเป็นเพื่อน เมื่อถึงโรงพยาบาลฉันก็ติดต่อธุระให้เสร็จ เห็นเล็บตีนท่านยาวมาก ดูแล้วไม่มีใครตัดให้ ก็อาสาตัดให้ท่านก็ทำท่าทีจะบ่ายเบี่ยง ก็เซ้าซี้เข้าและกำชับว่าจะค่อยตัดให้ทีละนิด ไม่เจ็บหรอก ตาฉันยังดีมองเห็นเนื้อเห็นเล็บชัดเจนดี ในที่สุดท่านก็ยอมให้ตัด  ต้นๆ ปี 2528 ซื้อหนังสืออัลกุรอานแปลของดิเรก กุลศิริสวัสดิ์ มา ทั้งชุด 3 เล่ม และซื้อแผ่นสติ๊กเกอร์ใสมาทำปกหุ้มด้วย

ปี 2528  วาลิดได้ขวบนึงแล้วหัดกินข้าวด้วยช้อนและกินด้วยตนเอง แต่ยังหกเลอะเทอะมาก ก็ปล่อยไปตามเรื่อง ก็ค่อยสอนบอกว่าอย่ากินหก ถึงพูดไปก็ไม่รู้เรื่อวงหรอกว่า กินข้าวหกคืออะไร แต่ก็จำเป็นต้องพูดต้องสอน เยาะห์ (กีเซน) เริ่มป่วยออดๆ แอดๆ มากขึ้นบ่อยขึ้น ทั้งๆ ที่ไปหาหมอศักดิ์ศรี โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ตามนัด แต่บางครั้งน้ำขึ้นสูงทำให้หมดสติ ต้องช่วยกันหามส่งโรงพยาบาล กันอยู่หลายครั้ง สมัยก่อนเป็นสะพานไม้ เคยเกิดสะพานหักทีนึง ตอนนั้นกำลังเอาห์ขึ้นเปลหามมาส่งกลับบ้าน ดีว่าสะพานหักไม่มาก มันหักแต่ยังค้างคา อยู่ไม่ไหลตกน้ำ คนหามเปลก็พยุงตัวกีเซนไว้ (กีเซนคือเยาะห์ตุ่ม) ยังอยู่ในเปล ฉันก็บอกพนักงานว่าไม่ต้องตกใจ กระจายน้ำหนักออกไป อย่าเข้ามารุมช่วยกัน ให้คนเปลที่พลัดล้มลงบนสะพานที่หักกลับเข้ามาช่วย แล้วค่อยๆส่งกีเซนขึ้นมา มีคนไปรับตรงชายสะพานที่ไม่หัก และทุกอย่างก็ดีขึ้น เดินไปส่งกีเซนถึงที่บ้านได้ พวกพนักงานก็เดินกลับทางบ้านบังญีมาน (น้อง)
รถพยาบาลก็กลับไปได้เลย เย็นๆ เอาไม้ไปพาดๆ ไว้ให้คนพอเดินได้ วันรุ่งขึ้นก็เอาคนเอาไม้ไปซ่อมกัน
มะเองก็มีแผลกดทับที่ก้นใหญ่มากขึ้น ตุ่มที่เคยทำสะอาดแผลให้มะก็ไปเรียกพยาบาลมาช่วยล้างแผล พยาบาลมาทำแผลให้ไม่กี่วัน ก็แนะนำว่าต้องไปให้หมอดูอาการจะดีกว่าทำอย่างนี้อันตรายแผลกินลึกลงไปในเนื้อเยอะมากแล้ว ก็ตกลงหาวันว่างจากพี่เขยใหญ่ พอได้วันแล้วก็มาช่วยกันอุ้มมะลงจากบ้านไปโรงพยาบาลนพรัตน์ มีนบุรี หมอดูๆก็ไม่ว่าอะไร สั่งทำแผลและสั่งยาให้ แนะนำให้ซื้อที่นอนลมสำหรับคนป่วยที่เป็นแผลกดทับ ที่นอนหลังหนึ่งหมื่นกว่าบาท ก็แพงมากสำหรับวันนั้น แต่ให้มะท่านสบายตัวและแผลก็จะได้หาย
กลับมาที่กีเซนอาการไม่ค่อยดีมาหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายที่ออกจากโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา หมอสั่งให้ใช้อ็อกซิเย่น ก็ไปเที่ยวหาซื้อหน้ากาก สายลม ท่อลม (ก็คือท่ออ็อกซิเย่น) ที่เป็นเหล็กหนักๆ ทีแรกซื้อท่ออ็อกซเย่นอันเดียว แต่พอหมดที หารถไปซื้อก็ลำบาก หาคนช่วยแบกเข้าบ้านก็ลำบากเพราะต้องจอดรถไว้ซอยชัยสิทธิ์ (รามซอย 8 ) สมันนั้นสะพานส่วนนี้เป็นสะพานไม้ผุๆ พังๆ เสริมแล้วเสริมอีก เดินแรงๆ ก็โยกโอนเอน ไปซิ้อท่อลมฉันก็ต้องเป็นตัวยืนทุกครั้งไป ตอนหลังๆ มีท่อลมมาเพิ่มอีกอันก็ค่อยยังชั่วเพราะเวลาเอาของเก่าไปซื้อก็ยังมีสำรองไว้อีกอัน มีอยู่ทีนึง หมดพร้อมๆ กันทั้งสองท่อเลยไม่มีใครดูแล ฉันต้องรีบไปซื้อมา ไปกลับรถกะป๊อ (ถ้าจำไม่ผิด) กลับมาถึงก้นซอยชัยสิทธิ์ ยกท่อลงวจากรถแล้วเข้าบ้านไปตามคนมาช่วย แต่ไม่เห็นใครเลย ก็คว้ารถเข็นปูนไป ยักแย่ยักยันเอาขึ้นรถเข็นได้ก็เข็นกลับมาบ้าน เทรถเข็นปูนเอาท่อลมลง แล้วก็ย้อนกลับไปเอาอีกอันหนึ่งมา ทีนี้มากองอยู่หน้าบ้านแล้ว มองหาใครมาช่วยก็ไม่มีใครผ่านมาเลยตั้งนานมากแล้ว ตัดสินใจเอาขึ้นเองคนเดียวนี่แหละ โดยกลิ้งมาที่ตีนบันได ยกส่วนหัวมันขึ้นพาดบนขั้นบันได ก้นท่ออยังติดอยู่กับพื้น เข้าไปยืนค่อมท่ออยู่กลางๆ ท่อ แล้วดึงทางตูดท่อขึ้นมาทีละขั้นทีละขั้น จนสำเร็จ ไปหนึ่งท่อ แล้วรีบเข็นไปให้กีเซนทันทีหนึ่งท่อ และปรับความเร็มลมให้อ่อนลงหน่อยไม่รู้ใครมาปรับไว้แรงมาก สิ้นเปลือง เสร็จจากนำท่อใหม่มาแทนที่แล้ว กีเซนก็ถามว่าเอาแล้วหรือ ฉันก็ตอบว่า “จ้ะ ซื้อเอามาแล้ว” แล้วก็ไปดึงเอาท่อที่ 2 ขึ้นมาอีกท่อหนึ่ง ปรากฏว่า เส้นเลือดริดสีดวงทวารแตกเลือดไหลเปื้อนโสร่ง แต่ไม่มีใครเห็น เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่รู้ไปไหนกันหมด เลือดไหลอยู่บ่อยเพราะหัวริดสีดวงมันทะลักออกมาก้อนใหญ่ เลือดจึงไหลบ่อยถ้าขยับร่างกายมาก หลายวันกว่าจะดีขึ้น
กีเซนอาการทรุดลงเรื่อยๆ หมอศักดิ์ศรี แนะนำให้ไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่นั่นมีเครื่องฟอกไต ต้องทำบายพาส คือเส้นเลือดเทียมภายนอกแขนเพื่อจะได้ฉีดยาให้น้ำเกลือ หรือฟอกไตได้ที่บายพาสนี้ ไปๆ มาๆ ที่บำรุงราษฎร์อยู่หลายครั้ง จนวันที่ 25 ธันวาคม 2528 กีเซนก็ช็อคหมดสติคาเครื่องฟอกไต ตอนบ่ายๆ ตุ่มไปจากบ้านไม่ทันได้ดูใจตอนหมดลม
ตอนนั้นตุ่มตรวจเลือดที่บำรุงราษฎร์นี่ว่ามีท้องแล้ว 2 สัปดาห์ เอามัยยิด (มัยยิดแปลว่าศพ ในอิสลามถือว่าไม่ได้ตายหนีจากเรา แต่ย้ายที่อยู่ใหม่ไปรอเราอยู่ข้างหน้า แล้วจะไปพร้อมกันในวันตัดสินคดีความคือวัน “กิยามะห์”) ก็จัดการปลงศพเรียบร้อยไป แบ่งทรัพย์สินมรดกกัน แต่เรื่องเงินในธนาคารเบิกมาแบ่งไม่ได้โดนอายัติไว้ พวกน้องๆ ลูกป้าเล็ก ฟ้องศาลขอแบ่งมรดกร่วม ก็ต่อสู้คดีความกันไปเรื่อยๆ ทางตุ่มได้ทนายไม่ค่อยเฉียบคม เอาแต่ตั้งรับ ต่อมาปี 2529

ปี 2529 เดือน มิถุนายน มะ (โต๊ะหะบีเบาะห์) มาจากไปอีกคน ป้าวอที่เคยมานอนเฝ้ามะบ่อยๆ ถึงกับเสียสติไปเลย ป้าวอได้แต่เรียกหาตุ่ม (ฮัจญะห์คอดิเยาะห์ /FB:Toom Sunee Kodiya Ju) ตลอดเวลา และชอบที่จะมาอยู่ที่ห้องนอน เวลาละหมาดก็จะถามว่าละหมาดหรือยัง ถ้าได้เวลาก็จะบอกให้ไปอาบน้ำละหมาด แล้วมาละหมาดร่วมกัน ความที่สติสตางค์ไม่ดี เลยนึกอยากเดินออกจากแถวละหมาดก็เดินออกไปดื้อๆ เดี๋ยวกลับมาก็จะละหมาดอีก เป็นอยู่ไม่นานมากนัก บังดิน (สามีป้าเซาะห์) ก็มาแนะนำให้ไปหาหมอนงเยาว์ แถวๆ ถนนงามวงศ์วาน ตุ่มก็นัดรถใครจำไม่ได้แล้ว ไปหาหมอนงเเยาว์กันฉันก็ตามไปด้วยปรึกษาหมอเรื่องเคลียดนอนไม่หลับ หมอก็ให้ยามากิน ก็ดีขึ้ นมาบ้าง ส่วนป้าวอ ในอีกหลายวันที่ผ่านไป อาการนั้น กินยาแล้วดีขึ้น
หมอผดุงครรภ์ที่มิชชั่นนัดคลอดกลางเดือนมิถุนายน แต่โต๊ะเบาะห์มาจากไปเสียก่อน ทำให้ตุ่ม (ฮัจญะห์คอดิเยาะห์ /FB:Toom Sunee Kodiya Ju) ไม่ปวดท้องคลอด จนมาวันที่ 15 กรกฎาคม ตอนกลางคืนดึกแล้ว ตุ่ม (ฮัจญะห์คอดิเยาะห์ /FB:Toom Sunee Kodiya Ju) บอกว่าปวดท้องนิดๆ ฉันก็หยิบตะกร้าที่เตรียมไว้ แล้วชวนเดินไปส่งที่ถนนใหญ่ เจอแท็กซี่มาพอดีโบกรีบจอดเลย ก็ส่งได้แค่นั้น เพราวาลิดนอนอยู่ที่บ้านอีก2วันต่อมา วันที่ 17 กรกฎาคม ได้รับแจ้งข่าวว่า เมื่อคืนนี้ ตุ่ม (ฮัจญะห์คอดิเยาะห์ /FB:Toom Sunee Kodiya Ju) คลอดแล้วเป็นผู้หญิง ฉันและกีดัม (น้องชายกีเซน) ออกไปหาซื้อแพะกัน ได้มาหนึ่งตัว สามพันกว่าบาทตัวใหญ่เหมือนกัน อยู่โรงพยาบาลได้หกวัน ก็ไปรับกลับเอามาทำอะกีเกาะห์ เย็นวันที่ไปรับกลับนั้นฉันก็โกนผมไฟซัลมาเองด้วยมีดโกนแบบโบราณ วันทำอะกีเกาะห์ พี่ๆน้องๆ ตุ่มเขากุลีกุจอทำบุญอ่านบัรซัลญีกัน แขกญาติพี่น้องมากันเต็มบ้าน ฉันไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับพิธีเขา เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
ปลายๆ ปี อาการริดสีดวงเป็นมากขึ้นอีก วันรุ่งขึ้นตื่นตั้งแต่ ตี 5 ตามปกติละหมาดแล้วหาอะไรกินแล้วรีบไปโรงพยาบาลนพรัตน์ กว่าหมอจะลงมาจากหวอด (Wards) ที่พักฟื้นคนไข้ ก็ปาไป 11 โมงแล้ว ตรวจเสร็จหมดให้ยาหลอดๆ มาป้ายริดสีดวง แล้วให้ยาเหนบรูก้นอีก และบอกว่าอาทิตย์หน้าถ้ายังไม่หายให้มาหาหมออีกที ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งก็ยังเหมือนเดิม ไปหาหมออีก ทีนี้หมอนัดผ่าตัดเลย หมอชี้ๆ ปฏิทินในสมุดโน้ต แล้วนัดฉันผ่า ในอีกอาทิตย์ข้างหน้า ฉันก็ไปโรงพยาบาลตามนัดโดยมีตุ่มไปด้วย (ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันตุ่มขอดูริดสีดวงก็ก้งโค้งให้ดูร้องว้ายเลย เพราเม็ดมันใหญ่) หมอให้เข้าห้องผ่าตัดเล็ก ขึ้นเตียงผ่าตัดได้ หมอให้นอนตะแคง แล้วโก่งงอตัวมากๆ มากที่สุดที่จะทำได้ แล้วฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง (ภาษพยาบาลเรียก “บล็อกหลัง”) ผ่าอยู่ไม่นานนัก อาการเหมือนตัวลอยๆ ไม่มีน้ำหนัก เมื่อผ่าเสร็จก็ได้เข้าห้องพักฟื้นรวม 4 เตียง ค่ำๆ ยาชาหมดฤทธิ์เริ่มปวดแผลตึบๆ มากขึ้น มากขึ้น ขอยาแก้ปวดพวกพยาบาลเวรมากิน กินไปหมดฤทธิ์ยาก็ปวดอีก ปวดตลอดเวลา ตุ่มมาเยี่ยมทีแรกฉันขอร้องให้ไปหาหมอนงเยาว์ขอยามากิน ตุ่มก็ไปตามนั้นได้ยามากิน กินยาแล้วค่อยยังชั่วจาการปวดแผลไปมากเลย วันหลังมาเยี่ยมอีกพาวาลิดมาด้วย ฝากซัลมาไว้กับเงาะห์   วาลิดไปเอาแต่จะร้อง ซึ่งไปรบกวนเตียงอื่นเขา พี่เสือ พยาบาลมาเจอเข้าก็ไปจัดหาห้องว่างให้ไปนอนนั่น เป็นห้องพิเศษที่ยังไม่ได้เปิดให้ใช้ แต่ใช้ได้แล้ว กว่าอยู่โรงพยาบาล3-4วัน ก็ให้กลับบ้านได้ ให้ยากิน ยาเหน็บ กว่าแผลจะหายก็หลายวันอยู่ ช่วงแรกๆ 2-3วันไม่อึเลยกลัวเจ็บแผล
ซัลมาเกิดมาตัวขาวมากถ่ายรูปเก็บไว้ให้ดูกันตอนโตๆ ให้กินนมมะตุ่ม วาลิดเห็นน้องกินก็ขอแบ่งกินบ้าง เพราะวาลิดก็พึ่งจะสองขวบกว่าเอง ตอนซัลมายังเล็กๆ ไม่เท่าไร พอโตขึ้นข้ามปีไปแล้วซัลมารู้เรื่องหน่อยแล้วจะไม่ยอมให้วาลิดกิน เห็นวาลิดมาดูดนมมะ ก็จะผลักดันหน้าวาลิดออกไปจากเต้านม ต้องสอนว่าแบ่งให้บังกินมั่งนะ พี่น้องกันก็แบ่งกัน พูดสอนอยู่นานกว่าจะรู้เรื่องแบ่งให้กินนมมะ ขนาดยอมแบ่งให้กินนมมะด้วยแล้ว ยังมีอาการเอานิ้วมือมาค่อยๆ ดึงเต้านมทีละนิด ทีละนิดจนหัวนมหลุดจากปากบัง แล้วก็กินไปจับหัวนมไป ถ้าบังยังไม่อิ่มก็จะขอซัลมากินต่อว่า ขอบังกินมั่งนะ นะ นะ ซัลมาพยักหน้าวาลิดก็ลงมานอนกินนมต่ออีก

ปี 2530  ช่วงต้นปีบังฟัด (ฟัดต๋ง ญาติห่างๆ อยู่สุเหร่าอิหม่ามซัน) มาหาที่บ้านชวนไปทำงานซาอุอีก ตำแหน่งช่างประปา ถามว่าทำประปาเป็นไหม ฉันก็ตอบว่า เป็น ก็สมัครไปกับเขาด้วย เที่ยวนี้ดลก็ได้ไปด้วยกัน เหตุที่ไปเพราะอยู่บ้านอุ้มซัลมาก็ไม่ได้ อุ้มแล้วชอบร้อง
ไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ได้บินแล้ว นั่งเครื่องไปลงญิดดะห์ ค่ำๆ มีรถมารับเข้าแคมป์ญิดดะห์ เรียกชื่อ แยกว่าใครอยู่ญิดดะห์ ใครเข้ามักกะห์ ฉันโชคดี ได้ทำงานในมักกะห์ (ตามปรารถนาเลยว่า อยากได้ทำงานในมักกะห์สักครั้งในชีวิต อัลฮัมดุ ลิลลาฮิ) ทำงานประปา ต่อท่อ PVC ยี่ห้อ บาทัล Batol น้ำในห้องน้ำ ติดตั้งโถสุขภัณฑ์ บิเด้ (โถฉี่) และโถชักโครก มีเครื่องไม้เครื่องมือดี ทันสมัย ใช้กันทิ้งเกลื่อนไปหมด แญ็คสำหรับสกัดปูนยี่ห้อ ฮินติ (Hilti)
เข้างาน 8 โมงหน้าไซท์งาน รถออกจากแคมป์ 7.30 น. เช้าตื่นมาละหมาดแล้วก็นอนต่ออีกหน่อย ไม่รู้จะทำอะไร 7.00 น.กินข้าวเช้า ขึ้นรถไปไซท์งาน สร้างตึกโรงแรมชื่อ “อัลกัซซะห์” ข้างมัสญิดแมว เดินนิดเดียวถึงมัสญิดหะรอมแล้วได้ไปละหมาดดุฮรี่กับอัสรี่ทุกวัน วันศุกร์เช้าก็จะไปทำอุมเราะห์ โดยไปที่หะรอมขึ้นรถเมล์เกรฮาวที่นั่น ไปตันอีม เพื่อครองอี้หะรอม เดือนเราะมะฎอนก็ทำงานเลิกบ่าย 2 กลับแคมป์ นอนพัก
ใกล้ๆมักริบจะเดินไปหะรอมไปแก้บวชและละหมาดมักริบ อิชาอ์ ตะเราะวี้หะ วิติรเสร็จก็เดินกลับแคมป์ ใช้เวลาเดินช้าๆชั่วโมงเดียว พอใกล้เดือนฮัจญ์ทางบริษัทจัดให้คนงานในมักกะห์บางส่วนย้ายไปทำที่ญิดดะห์ ฉันก็โดนย้ายด้วย อยู่ญิดดะห์ก็มีโอกาสสอนเตือนคนอื่นๆ เรื่อยๆ จนคนเขาเรียกว่าโต๊ะครูแอน เรียกด้วยความเชื่อถือไม่ได้เรียกด้วยการเหน็บแนม มีเวลว่างตอนหลังอิชาอ์จไปเดินเล่นนั่งเล่นริมหาด
งานที่ทำที่ญิดดะห์ ทำหน้าที่กรรมกร ขนอิฐบล็อกไปให้ช่างปูน คอยส่งปูนให้ช่าง แคมป์ชายทะเล ก่อสร้างบ้าน 2 ชั้นริมหาด วันหยุดฉันมักจะลงไปดำน้ำดูปะการังสวยๆ ทั้งนั้นเลย ปลานกแก้ว ปลาปักเป้า ปลาเก๋าตัวอย่างเก๋าเลยเบ้อเร้อเลย บางคนลงไปเห็นแล้วกลัว ฉันชอบลงไปว่ายน้ำดูปะการัง อยู่ตื้นๆ ริมฝั่งนี่เอง วันนึงลองว่ายไกลออกไปไกลโขอยู่ อยู่ๆ ก็เห็นแนวปะการังมันสิ้นสุดหายไป กลายเป็นภาพหน้าผาลึกชันลงไปสุดสายตา ข้างล่างมองดูมืดมิดไม่เห็นก้นทะเล ข้างบนน้ำทะเลสีฟ้าใส  ปะการังทะเลแดงนี้ มี3ประเทศที่เปิดบริการที่พัก ดำน้ำดูปะการัง คือ อิยิปต์ที่เมือง   ประเทศจอร์แดน ที่เมือง อะกาบา Aqaba, ประเทศอิสราเอลที่เมือง ไอลัต Eilat, ประเทศอิยิปต์ที่เมือง ทาบา Taba ประเทศซาอุฯน่าจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเที่ยว แต่กันพื้นที่เอาไว้ว่าส่วนของนักท่องเที่ยว
อยู่ที่แคมป์นี้ไม่รู้ว่าชื่อะไร มีตู้นอนอยู่ไม่กี่ตู้คนไทยไม่มากนัก ที่ญิดดะห์นี้ได้รู้จักกับบังมาน (โด๊ร)
พอถึงวันใกล้ฮัจญ์แล้วฉันดลและคนอื่นๆ อีก ก็ตกลงจะไปมักกะห์กัน พอวันที่ 7 ซุลฮิจญะห์ (จันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2530) ก็นั่งแท็กซี่เข้ามักกะห์
ถ้าวันที่ 8 แล้วแท็กซี่จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าแล้ว ค่ารถคนละ 20 รียาล เบียดกันมากับคนอื่นรวม 6 คนนั่ง สมัยก่อนแท็กซี่เป็นรถยี่ห้อพวกเชฟโรเลต พวกบิวอิก รถไอ้กันใหญ่ๆ ทั้งนั้น นั่งได้เยอะหลายคนดี พวกแทกซี่ชอบ เพราะที่เขาไม่เหมา เขารับหมดถ้ายังมีที่ว่าง ถึงมักกะห์แล้วไม่มั่นใจกันว่าครองอี้หะรอมจากญิดดะห์ได้หรือไม่ ก็ตกลงกันนั่งรถเมล์เกรฮาวไปตันอีมใกล้นิดเดียวค่ารถเมล์ 2 รียาล จำไม่ได้ว่าหาซื้ออะไรกินกัน คงหนีไม่พ้นไก่ย่างแน่ๆ เพราะสมัยนั้นไม่มีอาหารฟาสฟู้ด ไก่ทอด ข้าวหมกเยเมน เวลานอนก็หาลังกระดาษมาปูนอน บางคนไม่มีลังกระดาษก็นอนบนพื้นปูนไปอย่างนั้นเลย วันที่ 8 ซุลฮิจญะห์ ตอนเช้าเดินไปทุ่งมีนา ทุ่งมีนายังเป็นทุ่งจริงๆ หาที่นอนตามใกล้มัสญิดมีนา เช้าวันที่ 9 ซุลฮิจญะห์ (พุธที่ 5 สิงหาคม 2530 วันนี้เป็นวันวุกุฟ) วันวุกุฟ ก็หาซื้ออาหารกินแล้วออกเดินไปอารอฟาต กว่าจะถึงก็เที่ยงกว่าแล้ว หาที่อาบน้ำละหมาด พอดีละหมาดรวมร่วมกัน มีเสียงอิหม่ามนำละหมาดมาตามเสียงตามสาย มีต้นไม้ทางการเขาปลูกไว้แต่ยังไม่โต ไม่มีพัดลมไอน้ำ อาศัยร่มตามเต้นท์คนอื่นๆ ละหมาดกันเสร็จ ก็หาห้องน้ำเข้าแถวๆมัสญิด พอมักริบก็ออกเดินทางกันไปมุซดาลิฟะห์ รถมีไม่มาก คนเดินเต็มท้องถนน แวะละมหาดที่มุซดาลิฟะห์ เก็บลูกหิน 70 เม็ด นอนเอนหลังงีบหนึ่งลุกขึ้นเดินต่อใกล้ถึงมีนาแล้วแวะละหมาดซุบฮิกัน แล้วก็ออกเดินต่อถึงมีนาก็เช้าแล้ว ตรงลี่เข้าไปเสาหินกันเฃยขว้างเสร็จก็ออกมาขริบผม (ยังไม่ได้โกน) แล้วเดินเข้ามัสญิดหะรอมกันไปตอวาฟและสะอาฮัจญ์ เสร็จก็กลับมีนาตอนนั้นยังแข็งแรงดีมากอยู่  นอนค้างมีนาอีก 3 วัน บ่ายขว้างเสาหินเสร็จก็รีบเข้ามักกะห์กันทันที ตอวาฟวิดะอ์เสร็จตอนเย็นๆ รีบขึ้นแท็กซี่ (แท็กซี่เริ่มเข้ามามักกะห์ได้ตั้งแต่เมื่อวาน) กลับญิดดะห์ นอนแคมป์กับดลก่อน พออีกวันต่อมามีหนังสือมาแล้วว่าพวกเข้ามักกะห์ทำฮัจญ์นั้นเตรียมตัวกลับบ้านกันได้แล้ว
วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2530 เดินทางกลับบ้านคลองตรงอย่างปลอดภัย คลองตรงคือชื่อคลองที่บ้านตัดระหว่างคลองกะจะไปทะลุคลองแสนแสบ
ที่ 13°44'52.9"N 100°36'04.3"E 13.748029, 100.601198 (ในทิศตะวันตก), และที่13°44'37.5"N 100°36'37.5"E 13.743737, 100.610422 (ในทิศตะวันออก),  ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร (คนโบราณจะเรียกระยะทาง   เป็นเส้นเท่ากับ25เส้น)
คลองที่มาจากเหนือคือคลองกะจะ 13°44'37.4"N 100°36'38.4"E 13.743720, 100.610669
คลองที่ลงไปใต้คือคลองเขมรหรือคลองบ้านป่า (เพราะไหลลงไปผ่านหมู่บ้นบ้านป่าที่13.743533, 100.610433)
ปี 2530 นี้ ได้ซื้อหนังสือหะดีษแปล ชื่อ “หนังสือหะดีษซอเฮี๊ยะฮ์” แปลโดยอรุณ บุญชม บางเล่มจะแปลร่วมกับมัรวาน สะมาอูน ซื้อมาทั้งชุด 9 เล่ม อ่านไปเรื่อยๆ

ปี 2531  กลับจากญิดดะห์มาอยู่บ้านอันเงียบเหงา เพราะเยาะห์-มะก็จากไปกันหมดแล้ว วาลิดก็อายุเข้า 4 ขวบแล้ว ตุ่มเอาไปฝากอนุบาลกับครูแต๋ว ที่บ้านโต๊ะหนูหลังสนามไดรฟ์กอล์ฟหัวหมากเซ็นเตอร์
เรื่องคดีความที่พวกน้องมันฟ้อง ก็มีการขึ้นศาลกันตามวาระและโอกาส
ซื้อรถเก่าๆ FORD TOURUS บรรทุกลูก หลาน น้องๆ ได้ทั้งหมด 15 คน นอนบนคอนโซลหลังด้วย สมัยนั้นไปทะเลบางแสน บ้าง ไประยองบ้างตามโอกาส เคยขอยืมพี่ติ๋ม โตโยต้า 120 วาย ขับไปถึงบางละมุง หม้อน้ำเดือดแห้ง ต้องแวะซ่อมกลางทาง กลังเขาจะว่าเอาด้วย เลยหาซื้อรถเก่ามาใช้เองดีกว่า

ปี 2532 วาลิดอายุได้ 5 ขวบ ได้เข้าโรงเรียนอนุบาลพิบูลย์เวศม์ ซอยปรีดีพนมยงค์ 13 (13°43'14.6"N 100°35'33.4"E 13.720729, 100.592601) ไปรับ-ส่งด้วยมอร์เตอร์ไซค์ ทำอาหารกลางวันใส่ปิ่นโตไปด้วย
ปีนี้ตุ่มซื้อรถกะบะโตโยต้าตัดแต่งทำเป็นแวน ได้เงินจากเวนคืนที่ดินที่เยรูซาเล็ม ของกรมทางหลวง ฝากจอดไว้ที่บ้านบังมิด ในปีนี้ซัลมาอายุ 3 ขวบ มักชอบเล่นอยู่กับอามีน มีอยู่วันหนึ่ง เล่นน้ำในอ่างน้ำล้างเท้าหน้าบันไดบ้านอามีน คงนึกว่าเล่นน้ำแล้วหนาว อามีนก็ไปต้มน้ำร้อนมาเทใส่ลงอ่างน้ำนั้น แต่ความร้อนของน้ำที่เทลงไปมันร้อนจัด โดยซัลมาไม่รู้ตัว อามีนเทราดลงข้างน่อง ร้องไห้บอกว่ามีน มีน
ซู้ดปาก ร้องไห้ด้วยบอกแต่ว่ามีน ฉันและตุ่มก็ถามว่ามีนทำไม มาดูๆเห็นมีรอยแดงๆที่ขา ก็ไปเอาว่านหางจระเข้มาทาๆ ให้ที่รอยแดงนั้น แต่ยังร้องไม่หยุด ฉันและตุ่มก็พาไปหาหมอที่เสรีคลินิก แต่หมอแนะนำให้เข้าโรงพยาบาล ตุ่มตัดสินใจไปปรานบุรี ให้ลุงโต้งช่วยพาไปหาหมอที่คลินิกตลาดปรานบุรี หมอเห็นอาการแล้วนัดแอดมิชชั่นลัดคิวให้เช้ารุ่งขึ้น หมอศัลย์ก็เอาเศษหนังตายออกแล้วเอารกมาปิดแผลไว้ แล้วปิดทับด้วยผ้าก็อต



ราวๆ วันที่ 25-26 ธันวามคมของปี 32 ได้พาไปเที่ยวเชียงใหม่กัน มีป้าวอ, ซ็อล, ดา(ญีฮีม)มีตังค์ไป30บาทหัวเราะขำกลิ้ง , และครอบครัวฉัน ไปพักกางเต้นท์ที่บ้านหนองหอย นิกร (นิกรเป็นเพื่อนตุ้ม ตุ้มแนะนำให้รู้จัก โดยเขียนรายละเอียดที่อยู่ให้ แล้วพวกเราก็ไปกันตามที่อยู่นั้นจนได้เจอ) ไม่ได้ไปเที่ยวที่อื่นๆ เพราะไม่รู้จัก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาเชียงใหม่ ตระเวนอยู่แต่แถวตัวเมือง พักอยู่แค่ 2-3 วันก็ลากลับ

บ้านนิกรอยู่ในวงวงรีในภาพ

ปี 2533 ไปทำงานกับบริษัท DMC Construction ในตำแหน่ง Foreman งานแรกที่ซอยโรงเรียนพิบูลย์เวศม์ มีคนงานเด็กผู้หญิงชื่อ ผอบ (อ่านว่า ผะ-อบ) อายุ 17 ปีแล้ว บ้านอยู่อำเภอสามง่าม พิจิตร เป็นคนงานที่เรียกใช้ได้ทุกเรื่อง แต่มันชอบบ่น ต่อมาที่บริษัทลีเวอร์ไทย ลาดกระบัง สร้างโรงเมนทิเน้นซ์และมีรางสายเคเบิ้ลใต้ดินด้วย ผสมซีเมนต์กันเองโดยใช้โม่ติดเครื่องยนต์ ตอนเทคอนกรีตรางสายเคเบิ้ลใต้ดิน เทปูนช้า และไม่มีเครื่องจี้ปูน ทำให้ปูนมีรู น้ำซึมออกมาได้มาก ต้องไปหาซื้อ ซิเมนต์ปลั๊ก (เป็นซิเมนต์พิเศษผสมน้ำแล้วโปะยาที่ที่น้ำรั่วมันจะแข็งตัวทันทีที่อุดโปะลงไป) ราคาแพงมาก แต่บริษัท ก็ต้องทุ่ม กว่าจะอุดได้หั่ว ก็หมดไปหลายชุดอยู่ และตอนสกัดผนังห้องหม้อแปลงไฟฟ้า ลูกน้องก็ทำกันงุ่มง่ามขัดหูขัดตา ก็เลยแญ็กเอง ผลคือ ดอกเครื่องแญ็กมันติดขัดกับเหล็กในคอนกรีต ตัวแญ็กก็หมุนมากระแทกปลายคิ้วแตก ตอนเทคอนกรีตคานพื้นห้องอีก พอเทเสร็จเมื่อวานเย็นวัน เสาร์ วันอาทิตย์หยุดหนึ่งวัน เราก็จัดแจงหารถแบ็คโค เพื่อจะมาตักดินเข้าพื้นท้องคานและพื้นห้องเพื่อเทปูนไม่ต้องมีไม้แบบมารองรับ ตอนสมัยนั้นมีโฟร์แมนอีกคนชื่อเบิ้ม มันขอลาหยุดแล้วไม่ได้บอกเราว่าห้ามใช้รถใหญ่ขึ้นเหยียบบนคานที่เพิ่งเทในระยะ 3 สัปดาห์ ด้วยความไม่รู้แล้วคิดว่าจะรวดเร็วประหยัดกว่าใช้แรงงานคน จึงใช้แบ็คโฮ พอผู้จัดการมาเห็นเข้าบอกลมแทบจับ เพราะฉันเอาแบ็คโฮขึ้นไปย่ำตักดินใส่ท้องพื้นเสร็จไปแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สั่งไอ้เบิ้มให้ดูคุมงานเทคอนกรีตเองทุกครั้ง ก็ดีฉันจะได้ไม่เหนื่อยมาก เพราะเวลาเทปูนไอ้เบิ้มชอบแอบหลบไปโน่นนี่ แรกๆตกลงกันว่าค่าน้ำมันมอร์ไซค์เบิกได้ ค่าเพจเจอร์เบิกได้ สมัยนั้นการสื่อสารทางไกลที่ทันสมัยที่สุดก็คือ เพจเจอร์ Pager มันเป็นวิทยุกระเป๋าจิ๋ว ตัวโตกว่ากล่องไม้ขีดหน่อย


ตัวนี้เขาเรียก Pager ของบ. Motorola ผู้ที่ต้องการจะส่งหมายเลขโทรศัพท์ให้แก่

ผู้ถือเพจเจอร์โทรกลับ จะต้องโทรเข้า PacLink 1143, 1144
ต่อมาพัฒนาขึ้นเป็นแบบมีตัวอักษรข้อความสั้นพร้อมเบอร์โทรกลับ
เริ่มมีผู้ให้บริการหลายบริษัทขึ้น เช่น โฟนลิงค์ 151, 152 ครั้ง3- 

Hutchison PagePhone 161, 162 ที่เปิดตัวการส่งข้อความภาษาไทยได้เจ้าแรก, EasyCall 1500, 1501 ที่มาเน้นทำตลาดเรื่องราคา
และท้ายสุดที่เข้าทำตลาดบ้านเราในโค้งสุดท้ายคือ PostTel 1187, 1188
ใครใช้เพเจอร์สมัยนั้นเจ๋งสุดแล้วเพราะเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยที่สุด รองสุดท้ายคือ Easy call
PostTel แท้งค์ พอออกมาแล้วตายทันที ในปี ค.ศ.2000 (พ.ศ.2543) ยุค Y2K, Millinium
ปีที่เริ่มใช้แพ็คลิงค์ตัวแรกของไทย ไม่แน่ชัดว่าปีไหน โดยประมาณที่ปี 2530
ทำงานไปชักจะมีปัญหาหยุ๋มหยิ๋มขึ้น เช่นค่าน้ำมันรถ เริ่มอ้างว่าใช้เปลือง ฉันต้องวิ่งสั่งหิน ปูน ทราย วัสดุต่างๆ, ค่าแบตเตอรี่เพจเจอร์ให้จ่ายเอง
ฉันเลยตัดปัญหาว่าไม่ใช้ บริษัทก็ไม่ยอมหาว่าติดต่อไม่ได้จะทำงานอย่างไร, ค่ารถแบ็คโฮ ต้องรายงานก่อนทำ จะงานอย่างไรในเมื่อไม่มีโทรศัพท์ ต้องขี่มอร์ไซค์ไปหน้านิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังโน่น
ใกล้ๆ สิ้นปี ราวๆ 25-26 ธันวาคม 2533 ก็จะลาครูทางโรงเรียน พาลูกๆไปเที่ยวเชียงใหม่  ปีนี้สำรวจแผนที่ดูแล้วพอรู้จักสถานที่เที่ยวตามอุทยานแห่งชาติบ้างแล้ว และปีนี้จะตามต้อยไปบอกให้ขับรอๆเราบ้าง ไปกันก่อนสิ้นปีเก่า จนเลยปีใหม่วันที่ 6 – 7 มกราคม จึงจะกลับหลีกเลี่ยงรถติด สถานที่ที่ไป เช่น
-  ดอยอินทนนท์  18°32'11.7"N 98°31'16.3"E///18.536578, 98.521192
บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์

ป่าสนที่กางเต้นท์อยู่ถนน 1284 เข้าไป500เมตรอยู่ขวามือ เข้าหมู่บ้านขุนกลาง โรงเรียนขุนกลาง ปากทางด้านขวามือมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ดอยอินทนนท์
มื้อกลางวันเด็กๆ ช่วยกันเล่นช่วยกันกิน ช่วยกันล้างถ้วยจาน สนุกกันไปอีกแบบหนึ่ง


-  ดอยแม่สลอง (มีจีนฮ่ออาศัยอยู่มาก) กางเต้นท์หน้าโรงเรียนบ้านสันติคีรี อ.แม่ฟ้าหลวง, Chiang Rai 57110 พิกัดดาวเทียม 20°09'31.9"N 99°37'22.4"E///20.158851, 99.622877
สนามหญ้าหน้าโรงเรียนบ้านสันติคิรี สมัยก่อนเป็นลานดินโล่งๆ


-  ดอยอ่างขาง กางเต้นท์ โรงเรียนบ้านคุ้ม (มีโครงการเกษตรเมืองหนาว “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง”)
19°53'59.3"N 99°02'20.8"E///19.899808, 99.039113
ภาพเมื่อ พ.ศ.2533 พี่เจ้าหน้าที่ ตชด. แต่ปัจจุบันนี้ ใช้ทหารม้ามาดูแลแทน
ป้ายชื่อโรงเรียนปัจจุบัน สมัยก่อนชื่อโรงเรียนบ้านคุ้ม
พี่ ตชด. สมัยนี้ใช้ทหารคุมด่านนี้
มะ กับ มา

ฬ่อ (อ่านว่า "ล่อ" ลูกผสมม้ากับลา) ชาวปะหล่องใช้บรรทุกมันฝรั่ง

พันธุ์พื้นเมืองจากพม่า เรียกว่า "อะหลู่" มาส่งขายในเมืองเชียงใหม่



รูป 2-3และ4 ข้างบนเป็นบ้านนอแล ชิดริมขอบแดนพม่าเลย มีพวก
ชาวปะหล่อง ตั้งบ้านเรือนอยู่ชิดขอบชายแดนมาก แต่ไม่มีปัญหาเพราะปะหล่องเองเป็นพม่าข้ามมาอยู่ไทย ทำมาหากินโดยไปซื้อหัวมันฝรั่งพันธุ์พื้นเมืองทางเหนือ เรียกกันว่า “อะลุ่” ไปขายส่งในเมืองเชียงใหม่
สมัยก่อนไม่รู้จักคุณภาพเต้นท์ พอมีน้ำค้างมากๆ จะเปียกหลังคา
 แล้วน้ำความชื้นในเต้นท์จะหยดใส่ตัว

อุณหภูมิ 0 – 2 องศา หน้าโรงเรียนบ้านคุ้ม ดอยอ่างขาง ปี 2533 น้ำแข็งจับกระจกหน้ารถ 
ใช้รถโตโยต้ากระบะขับบนเขาไม่ดีเลย เบรคกระทันหันแล้วท้ายปัด

-  บ่อน้ำพุร้อนโป่งเดือดเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง พิกัดดาวเทียม บ่อน้ำพุ 19°14'34.5"N 98°40'59.2"E  19.242916, 98.683105

บ่อน้ำพุร้อน “โป่งเดือด” ต.ป่าแป๋ อ.แม่แตง เชียงใหม่
ป้ายบอกทาง

ตัวบ่อน้ำพุร้อน ปัจจุบันพุ่งขึ้นมาไม่สูงแล้ว สมัยก่อนพุ่งขึ้นฟ้าสูงพอควร

-  อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง จุดชมวิวดอยกิ่วลม พิกัดดาวเทียม 19°18'50.5"N 98°36'14.9"E 19.314022, 98.604146
อัยนูน ซัลมา ซามี่ ธันวาคม ปี 2554
ยอดดอยนี้เรียกดอยกิ่วลม ห้วยน้ำดัง
ทะเลหมอกยามเข้าตรู่

ห้วยน้ำดังปี 2554 หนีน้ำท่วมไปเที่ยวกันกับครอบครัวฟะห์ ตุ่มซัลมาและฉันคนขับรถ 

กำลังนั่งดูลูกหลานวิ่งเล่นกัน เป็นความสุขประสาคนสูงวัย
-  ตัวเมืองอำเภอ “ปาย”  เมื่อสมัยปี 2533 นั้น (ออกเดินทางจากบ่อน้ำพุร้อนโป่งเดือดหลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จ เก็บเต้นท์ขึ้นรถจะออกเดินทางไปดูทุ่งบัวตอง ดอยขุนยวม แม่ฮ่องสอน ) ตัวเมืองอำเภอปายยังเป็นตัวเมืองเล็กๆ เป็นเมืองทางผ่าน ไม่มีสถานที่เที่ยวกลางคืน มีโรงแรมเล็กๆ ไม่กี่แห่ง มีพวกฝรั่งแบกเป้ชอบมาพักเที่ยวที่นี่ เพราะมาหาฝิ่นและกัญชาสูบ หาซื้อง่ายมาก จะพักกันตามเกสต์เฮ้าส์เล็กๆ ที่ชาวบ้านเขามีบ้านเรือนเก่าชั้นเดียวยกพื้นสูงปานกลางระดับอก มีห้องนอนห้องเดียว มีห้องโถงโล่งกว้างมาก มีห้องน้ำห้องส้วมปลูกแยกอยู่ข้างล่าง พวกฝรั่งที่มาเช่าก็จะเสียเป็นรายตัว คนละ 100 บาทต่อคืน นอนรวมกันในห้องโถง
ถ้ามาจากเชียงใหม่บนถนนสาย 1095 พอมาถึงสี่แยกไฟแดงแรกจะมีบ้าน “เจ้าหม้อ” หมู่ 2 ต.เวียงใต้ อยู่ซ้ายมือติดกับทางแยกเลย เลยไปอีกไฟแดงหนึ่ง ถึงสี่แยกโรงพยาบาลปาย (ซ้ายมือ) ให้เลี้ยวขวาเข้าไปประมาณ 100 เมตร มัสญิดอัลอิสรอจะอยู่ทางขวามือ พิกัดดาวเทียมมัสญิด 19°21'36.5"N 98°26'24.5"E///19.360153, 98.440144 พอมีร้านขายอาหารให้หากินได้ มีข้าวซอย อร่อยๆ บริการ สมัยปี 2533 เป็นเรือนไม้เล็กๆ ยังไม่เป็นรูปร่างมัสญิด
ด้านหน้ามัสญิดอัลอิสรอ อำเภอปาย แม่ฮ่องสอน


กินกันอิ่มหนำสำราญกันแล้วก็ออกเดินทางต่อ ขัรถขึ้นเขาลงเขาตลอดทางมาตั้งแต่ตลาดบ้านแม่มาลัย อำเภอแม่แตง เชียงใหม่แล้ว มาถึงอำเภอปางมะผ้าก็บ่ายแก่แล้ว ต้องหยุดรถหุงหาอาหารมื้อเย็นกินได้แล้ว เดี๋ยวจะค่ำมากกว่านี้ ก็เลยเข้าไปแวะที่วนอุทยานแห่งชาติถ้ำลอด อำเภอปางมะผ้า พิกัดดาวเทียม 19°34'44.7"N 98°16'58.2"E///19.579087, 98.282846 จอดรถได้ก็หาที่กางเต้นท์ แผนกแม่บ้านก็ช่วยกันเตรียมอาหาร เสร็จแล้วก็กินกัน นั่งคุยกันค่ำแล้วก็เข้าเต้นท์นอน
เช้ามาไปเดินเล่นเข้าถ้ำกัน สายๆก็กลับมาที่เต้นท์ เก็บเต้นท์ ออกเดินทางต่อไปทุ่งบัวตอง ดอยแม่อุคอ 18°57'02.5"N 98°02'08.4"E///18.950681, 98.035667 ตำบลแม่อูคอ อำเภอขุนยวม พอมาถึงก็ต้องผิดหวังเพราะดอกมันโรยหมดแล้ว การประชาสัมพันธ์สมัยนั้นไม่ดีพอไม่ได้บอกรายละเอียดว่า มันจะบานราวๆ เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงต้นธันวาคม
ก็ตัดสินใจกันว่าจะไปต่อเลยที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ อำเภอขุนยวม แม่ฮ่องสอน พิกัดดาวเทียม 19°07'53.9"N 98°01'28.9"E///19.131646, 98.024706 พอขับรถขึ้นมาถึงตัวอุทยานฯ รู้สึกเงียบเหงามาก มีกันแค่เราสองคัน ตอนนี้ก็บ่ายสามกว่าแล้ว ก็ตัดสินใจกลับเชียงใหม่กัน โดยตกลงจะใช้เส้นทางลัด แรกๆ ก็ขับรอๆ กันดีหรอก ไปๆ ชักไม่รอเราแล้วละสิ กดั้นด้นขับลัดเลาะไปตามทางภูเขา จอดถามชาวเขาว่าทางดีไหม เขาก็ตอบว่า “ทางม่วน” พอเข้าใจภาษาเหนือบ้างว่าม่วนคือ ดี สนุก อะทำนองนั้น ก็ขับไปเรื่อยๆ ไปเจอทางขาด ชาวบ้านไทยภูเขาเขาใช้ลำไม้ไผ่มาผูกๆ กันไว้ก็หนาแน่นตามปะสาเขาซึ่งพวกเขาก็ใช้กันได้ เราก็ใจไม่ดีสะพานไม้ไผ่ คิดๆ ก็เอาว๊ะ ชาวเขายังไปกันได้เราทำไมจะไปไม่ได้ ก็คลานๆ ข้ามสะพานไม้ไผ่ไป จนรอดพ้นด้วยดี เริ่มจะค่ำแล้ว พวกเราในรถก็ต่างหิวข้าวกันทุกคน จะแวะข้างทางหุงหาอาหารก็ไม่มีเสบียงและเตา เพราะเอาขึ้นรถอีกคันหนึ่งหมดเลย ขับๆ ไป ตาไวพบเห็นลูกมะขามป้อมลูกเบ้อเริ่มเลยหล่นอยู่กลางทาง มะวาลิด (คือ ตุ่ม FB Toom Sunee Kodiya Ju ฮัจญะห์คอดิเยาะห์) ลงไปเก็บมาแบ่งกันกัดกิน ได้รับความสดชื่นขึ้นมานิดหนึ่ง ขับรถไปเรื่อยมาพบทางที่กำลังเทกรวด ทำให้รถลื่นไถลต้องขับช้าๆ ดึกแล้ว 2 -3 ทุ่มแล้ว ก็มาถึงเมืองแม่แจ่ม ก็จอดรถแวะซื้อนมซื้อน้ำหวานกินกัน เสร็แล้วก็ขึ้นรถขับขึ้นดอยอินทนนท์ โดยใช้เส้นทาง 1192 ถึงบนดอยก็เข้าสู่เส้นทาง 1009 ลงมาบรรจบกับเส้นทาง 108 อำเภอจอมทอง ขับรถยาวไปถึงสี่แยกเซ็นทัลพลาซ่า แอร์พอร์ท เลี้ยวขวาเข้าเส้นทาง 1141 (ถนนมหิดล) เข้าบ้านนิกร กางเต้นท์กันดึกๆ นั้นเลย เพราะตี 1 - 2 แล้ว  เช้ามาพักผ่อนกันหนึ่งวัน เช้ารุ่งขึ้นอีกวันก็เก็บสัมภาระกลับบ้านกัน แวะกินข้าวเที่ยงที่ตาก
ทางม่วนกระเหรี่ยงเขา
ทางม่วนของพวกชาวเขา ที่ฉันขับมาจาก น้ำตกแม่สุรินทร์  
ทางจะเข้าอำเภอแม่แจ่ม

ปี 2534 วาลิดขึ้นประถม 1 ซัลมาได้เข้าอนุบาลที่พิบูลย์เวศม์ด้วย
ตุ่มซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ MOTOROLA DYNATAC 8000 ราคาประมาณ 24,000.- (รูปล่าง)
ครื่องนี้เป็นรุ่นแรกๆที่ใช้ในเมืองไทย 
ราคาเกือบแสนบาท

Motorola DynaTac 8000
เครื่องนี้เป็นรุ่นต่อมาจากรุ่นกระเป๋าหิ้วขเางบน ประมาณปี 2534


งานที่ 3 กับ DMC ทำบ่อบำบัดใต้ดินหน้าโรงผงซักฟอก คนงานชุดเดิม ปัญหาเก่าคือน้ำซึมเข้าบ่อบำบัดได้และมาก ก็ต้องใช้วิธีการเดิม คือซื้อซิเมนต์ปลั๊กอุด มาหลายชุดทีเดียว เพราะรายงานไปว่าปริมาณน้ำซึมเข้าบ่อ วันหนึ่งครึ่งหน้าแข้ง ให้คนงานไปทำ เลิกงานมันก็กลับแค้มป์หมด อ้างว่าเหนื่อยแล้วไม่ทำโอทีแล้ว อ้าว . . ฉันก็ต้องลงมือทำเองอีก เพราะจะต้องรีบอุดน้ำให้อยู่ ภายในสัปดาห์นี้ให้ได้ ทำคนเดียวไม่ได้เพราะต้องลงบันไดในบ่อฯ บันไดไม้แบบหน้า 3 ยาว 4 เมตรหนักตื้อทีเดียว จะเอาทิ้งค้างไว้ในบ่อ ทางตัวแทนลิเวอร์ไม่ยอมให้ทิ้งค้างไว้ให้เก็บขึ้นมาเมื่อเลิกใช้ เอาละวา ต้องหาคนมาช่วยเรื่องบันได ก็ได้ไปตามผะอบนั่นแหละมาช่วย 4 ทุ่มก็ยังไม่เสร็จ แต่ก็ต้องเลิกเพราะผอบมันต้องทำงานพรุ่งนี้เช้าอีก เลิกขึ้นมาดึงบันไดเก็บหลบเรียบร้อย ขี่มอร์ไซค์ไปส่ง ผะอบ ที่แค้มป์ ลงโอทีให้ ผะอบ ทางบริษัทถามว่าใครอนุญาตโอที ฉันตอบว่า ไม่มี แต่ทำคนเดียวไม่ได้ ดูท่าจะไม่พอใจที่ให้โอที ผะอบ ทีโอที เราไม่ได้ขอ และเราต้องเร่งทำด้วยก็ไม่ให้ พอเสร็จจากงานชิ้นนี้แล้ว ก็ขอลาออก มาหางานทำเอง
ตั้งบริษัทเองจดทะเบียนการค้าว่า “วาลิดก่อสร้าง” ทะเบียนการค้าเลขที่ 10-39-23755 ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 113-44-81413
ไปประมูลงานในบริษัทลิเวอร์นั้นนั่นแหละ ได้งานทาสีโจตันพื้นโรงเมนทิเน้นซ์  ก็ทำกันกับดล 2 คน และประมูลได้อีกหลายอย่าง แต่ไม่มีคนงาน บางงานต้องให้บังโรน พ่อตาดลมาทำตัดช่วงไป ดลก็ชวนกันไปพิจิตรไปรับผอบ กับพ่อและน้องๆ มาช่วยงาน หาที่ทำบ้านพักให้คนงาน ได้บ้านเก่าๆ ตรงขอบบ่อญีหมาน ทำห้องน้ำทางหลังครัวที่บ้าน เช่ารถมาสด้าแฟมิเลียญีฮีมทำงาน
และปีนี้ลงทะเบียนเรียนต่อที่จันทร์เกษมด้วย สาขาก่อสร้าง รหัส จษ34-209-215
กรมทางหลวงก็เวนคืนที่ฝั่งเยรูซาเล็มนี้ พอเวนคืนแล้วจ่ายเงินกันทันที ต่อมาติดๆ การทางพิเศษก็มาเวนคืนที่กว้างออกไปอีก กรมทางหลวงถมทรายมาจนถึงถนนรามคำแหง ทำการบดอัด ถมลูกรังอีก สร้างสะพานต่างๆมาเรื่อยๆ พอมีรถแอบเข้ามาวิ่งบนถนนลูกรังนี้แล้ว บางคันมาล้วติดหล่มทราย พวกสลัมมาเข็นให้แล้วเก็บเงิน
ปิดเทอมกลางปี พาครอบครัวไปเที่ยวทะเล หาดแหลมสนบางเบน อำเภอกะเปอร์ ระนอง 9°36'45.9"N 98°27'53.6"E///9.612755, 98.464888 ถนนเพชรเกษม 4 ระยะหลักกิโลเมตรที่ 654 ไปตระเวนดูตามหมู่บ้านได้ไปรู้จักกับ บังก้าหรีม บุหราด และทำบุญช่วยสร้าง มัสญิดอีกด้วย
ใกล้สิ้นปีก็อย่างเคยพาลูกลาโรงเรียนไปเที่ยวเหนือกันอีก ปีนี้ไปกันเองลำพัง ไม่ต้องกังวลว่าจพลัดหลงกัน ออกจากบ้านเยรูซาเล็ม แต่เช้ามืดตี3 -ตี4 สมัยนั้นรถติดแสนสาหัส ไปแวะกินข้าวที่ตาก แล้วก็เข้าเชียงใหม่ตั้งต้นที่บ้านนิกรเช่นเคย ไปดอยอินทนนท์ อยู่สองวัน ลงมาพักบ้านนิกรค้างคืนหนึ่ง ไปอ่างขางค้างสองคืน แล้วก็ไปบ่อน้ำพุร้อนโป่งเดือด พัก 2- 3 คืน แล้วกลับมาบ้านนิกร พักอีกวันสองวัน ก็กลับบ้านเยรูซาเล็ม

ปี 2535 เริ่มมีการเวนคืนที่ดินฝั่งพัฒนาการ ต้องไปดูแนวเขตและบ้านเช่าที่โดนเวนคืนด้วย ไปบ่อยจนสนิทกับ อาจารย์ปิยะวัฒน์ การทางมาเวนคืนที่ดินแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รื้อถอนกันในปีนั้น คาราคาซังมาอีกปี
เดือนพฤษภาคม สุจินดา คราประยูรปฏิวัติ
พวกบ้านเช่าของเราเอง โดนเวนคืนที่ดิน แล้วจ่ายเงินเลย และการทางฯมีนโยบายจัดหาที่ดินสำรองไว้ให้ที่ถนนฉลองกรุง และการทางฯจะออกค่าดาวน์ให้ 40,000.- ซึ่งตุ่มก็ได้สิทธิ์เพราะมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านที่ถูกเวนคืน ฝั่งคลองตันนี้ไล่ที่พวกเช่าที่ยากเย็นแสนเข็ญ ใครมีที่ดินอย่าได้ให้ใครมาเช่าอยู่เชียว มันดื้อด้านจะเอาแต่ค่ารื้อถอน และอ้างแต่ไม่มีที่จะไป
ลองคิดดูทีว่า เก็บค่าเช่าที่ดินตารางวาละ 3.- ต่อเดือน บ้านคนผู้ทำมาหากินปกติจะเช่าที่ประมาณ (ก.8ม.xย.10ม.= 80หารด้วย 4ตารางเมตรเป็น1วา =20 ตารางวา) 20 ตร.วาxด้วย3บาท = 60 บาท ค่าแรงงานขั้นต่ำ = 68บาทต่อวัน ฉะนั้นหนึ่งเดือนจะเสียค่าเช่าที่เพียงรายได้หนึ่งวันเท่านั้น ในหนึ่งปีจะเสีย = 720บาทเท่านั้น ถ้าเช่า 100ปีจะเสียค่าเช่า 72,000 บาทเท่านั้น
เวลาเราขอที่คืน พวกมันเรียกร้องกันคนละหลายหมื่นถึงแสนยังมีเลย ดูตัวอย่างนี้ทีสิ ว่าเช่า 100ปีเลยนะเสียไปเพียง 72,000.- แต่พวกมันจะมาเรียกร้องเป็นหมื่นเป็นแสน ขอที่ดินคืนไม่ถึงกับไล่หมูไล่หมาเลยหรอก พูดขอร้องกันดีๆ ยกตัวอย่างให้ฟัง บางคนก็ดีและเข้าใจ ยอมรื้อถอนไปแต่โดยดี แล้วเราก็ช่วยค่าแรงค่ารถบ้าง 5,000.- (ประมาณเอาว่ามาเช่า 20ปี เสียให้เรา 14,400.- แต่ได้คืนไป 5,000.- ตกลงจ่ายเรา 9,400.-เท่านั้นเอง เท่ากับจ่าย 11 ปี อยู่ฟรี 9ปี มันยุติธรรมแล้วหรือที่มาเรียกร้องค่าโน่นค่านี่จากเรา ฉะนั้นบทเรียนคือ ใครมีที่ดินเปล่าคิดจะให้เช่าละก็คิดดีๆ ปล่อยทิ้งไว้ปลูกกล้วยกินยังตัดกินได้เป็นสิบๆ ปี ลงทุนต้นพันธุ์เพียงครั้งเดียว
ใกล้ๆสิ้นปี พาลูกๆ ไปลาครู เที่ยวเหนือกันอีก คราวนี้ไปดอยผาตั้ง อำเภอเวียงแก่น พิกัดดาวเทียม 19°55'51.8"N 100°31'09.9"E///19.931042, 100.519418, ไปดอยแม่สะลอง, ไปดอยอ่างข่าง, ไปบ่อน้ำพุร้อนโป่งเดือด แล้วก็กลับมาบ้านนิกร พัก ตั้งต้นเตรียมกลับเยรูซาเล็ม ปี 2536 ถนนที่กรมทางหลวงสร้างจากศรีนครินทร์มาทะลุรามคำแหงสำเร็จแล้ว ใช้การได้แล้ว เอารถมาจอดใต้ถุนบ้านได้แล้ว ประมูลงานได้ ดลก็ไม่ทำตามราคาประมูลซึ่งมันจะเกินงบ ต้องคอยมาดูมาคอยบอก ก็มีปัญหาว่าไปหางานใหม่ได้ยาก
จบการศึกษาที่จันทร์เกษม ได้รับวุฒิบัตรอนุปริญญาวิทยาศาสตร์ สาขาก่อสร้าง แต่งานก็ไม่ค่อยมีแล้ว น้องๆผอบกลับบ้านกันไปก่อนหน้านี้แล้ว
ผอบกลับบ้านตอนปี 2536 ปลายๆปี ไปอยู่อยุธยา เคยกลับมาเยี่ยมหนเดียว
วาลิดอยู่ประถม 3 ซัลมาอยู่ประถม 1
ใกล้ๆ สิ้นปีก็ไปเที่ยวเหนือกันอย่างเคย ไปอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า พิกัดดาวเทียม 17°00'12.8"N 100°59'35.5"E///17.003554, 100.993189 และเขาค้อ

ปี 2537 เริ่มไล่ที่ที่เยรูซาเล็ม ก็เริ่มเขียนแบบในออโต้แคด รีลีส 10 กับคอมรุ่น 486 (ปี 2532) กับคอมรุ่น วินโด้ 95

Computer PC 80486 ช่องแบนๆอันบนเป็น Floppy Disk 5 ¼”  
ช่องเล็กถัดลงมา Diskette drive 3 1/2" 
Computer PC FOR DOS 6.3 (1994) And Windows 95 
Floppy Disk 5 ¼” เลิกใช้แล้ว ยังคงมี Diskette 3 ½ “ และ CD Rom(ช่องบนสุด)
แผ่น 8 นิ้วเมืองไทยไม่มีใช้ มีแค่แผ่น Floppy 5 ¼ “ และ Diskette 3 ½ ” 

เครื่องปริ้นท์ระบบด็อท แมทริกซ์ 24 หัวเข็ม เจ๋งที่สุดในยุค พ.ศ.2536
Epson Printer Dot Matrix LI300 24 Pins

ไล่ที่ฝั่งเยรูซาเล็มก็ไม่ค่อยหนักหนานัก เพราะมีบทเรียนจากฝั่งคลองตันมาแล้ว ใช้เดินเคาะประตูบ้านทีละหลัง ใช้เวลา 3 เดือนกว่าจะครบ แล้ว 99 % รื้อถอนกันไปด้วยดี

ปี 2538 ลูกๆไปสมัครว่ายน้ำที่ กกท. (การกีฬาแห่งประเทศไทย) เพราะเป็นหวัดกันบ่อย เป็นภูมิแพ้ต้องหาหมอกินยาบ่อยก็เลยคิดเอาไปออกกำลังกายกัน ฝากเรียนว่ายน้ำ ค่าเรียนคนละ 750.- ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมต้นๆ แล้ว วาลิด ประถม 5 ซัลมา ประถม 3
ต้นๆเดือนพฤศจิกายนเรียกธำรงลูกอาซันมาตกลงเรื่องสร้างอพาร์ทเม้นต์ 4 ชั้น 3 หลัง ให้ดูแบบและตกลงเรื่องรายละเอียดงาน เทปูน งานวางเหล็ก และอื่นๆ อีกหลายรายการแต่ไม่ได้ทำหนังสือสัญญา ตกลงกันที่ หลังละ 5.5 ล้าน พื้นหินขัด ผนังภายนอกหินล้างสีภายในโจตัน ฯลฯ และท้ายข้อตกลงคือห้ามเอาผู้รับเหมาร่วมเข้ามาทำ ต้นปีเดียวกันนี้ติดต่อถมดิน ตกลงนายตำรวจได้เป็นผู้ถม ถมสูงระดับ 50เซ็นติเมตรจากพื้นผิวถนนหลวง ถมเอาเปรียบมาก มีทั้งยางรถยนต์มีทั้งขยะถุงพลาสติก และระดับสูงแต่ด้านหน้าๆถนน ด้านในลึกเข้าไปลาดต่ำลง
พอมาถึงกลางเดือนพฤศจิกายน วันศุกร์หยุดงาน บ่ายๆชงกาแฟกิน เดินไปถึงวิทยุแล้วจะเปิดวิทยุ พอดีมีอาการจะจาม ก็เอี้ยวตัวไปทางขวา เพราะกลัวกาแฟจะกระฉอกหกรดวิทยุ แล้วจาม ฮัดเช้ยเต็มที่เลย ทันใดนั้นรู้สึกแปล็บเหมือนไฟช็อตที่หลังแล้วค่อยๆรู้สึกว่าปวดหลังขึ้นมาทันที อาการปวดค่อยๆเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น แล้วก็เพิ่มขึ้น จนต้องล้มตัวลงนอน แทบจะทรงตัวไม่อยู่เลยละ นอนปวดสักพักอาการปวดไม่ทุเลา มีแต่อาการปวดจะเพิ่มมากขึ้น จะลุกยืนไปเอายา แต่ ลุกไม่ได้ นอนท่าหงายแล้วเอี้ยวตัวไปทางขวา ท่าเดียวกับขณะที่จามเลย ต้องนอนอยู่ในท่านั้น พลิกตัวตัวไปท่าอื่นไม่ได้ จะปวดมากขึ้นทันที คลานไปปีนเก้าอี้เอื้อมมือไปเขี่ยขวดยาหล่นลงมาจากตู้ กินพาราฯไป 2 เม็ดคลานไปเอาน้ำใกล้ๆ แถวในครัวนี่เอง กินยาพาราฯไป 2 ชั่วโมงแล้วไม่ทุเลาเลย ก็คลานไปกินอีก 2 เม็ด ผ่านไฟอีกชั่วโมงหนึ่ง อาการปวดก็ไม่ทุเลา คลานไปที่โทรศัพท์ถามตุ่มว่าอยู่ไหนแล้ว แต่บังเอิญรถติดมากไฟไหม้ห้าง สักพักใหญ่ๆ ก็โทรไปถามอีก อยากให้กลับมาปรึกษาดูว่าจะทำอย่างไรดี จนเย็นตุ่มกลับมาถึงบ้านเห็นฉันนอนท่าตัวบิดเบี้ยวก็ตกใจ ถามอาการแล้ว โทรศัพท์เรียกรถพยาบาลแพทย์ปัญญามารับตัวไป พอถึงโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ก็พาเข้าห้องพัก แล้วพยาบาลถามว่ายังปวดอยู่ไหม ก็ตอบว่าปวดมาก สักพักพยาบาลมาพร้อมกับยา โวลทาเร็น ชนิดเม็ด ฉันนึกว่ายาพาราฯ ก็ถามพยาบาลว่ายาอะไร ถ้าพาราฯลุงกินมาแล้ว แต่พยาบาลบอกไม่ใช่ค่ะเป็นยาโวลทาเร็น ชนิดเม็ดค่ะ ก็กินไป 2 เม็ด ให้นอนคอยหมอ ตั้งนานแล้วหมอก็ยังไม่มา ฉันปวดมาก มาก กดกริ่งเรียกพยาบาลมา ถามว่าขอมอร์ฟีนได้ไหมรีบปรึกษาหมอเวรให้หน่อย ออกไปข้างนอกสักพักใหญ่ก็เข้ามาพร้อมเข็มฉีดยา หลับไปด้วยความปวด พยาบาลมาเรียก แล้วฉีดมอร์ฟีนให้ สักพักเดียว โอ้โฮ สวรรค์ หายปวดแล้ว นอนได้ท่าทางปกติแล้ว แล้วก็หลับไปอีก ไม่รู้กี่ทุ่มมาปลุกให้ไปไหนก็ไม่บอก อาการปวดหวนกลับมาอีกนิดๆ พาไปขึ้นรถไซเร็นเปิดไซเร็นไปลั่นเลย ไปถึงไหนก็ไม่รู้เพาะนอนอยู่บนรถพยาบาล พอถึงจุดหมายก็ดึงรถเตียงพยาบาลลงไปแล้วเข็นเข้าที่ไหนไม่รู้ เข็นไปเข้าห้องที่มองเห็นก็ไม่รู้ว่าเครื่องอะไร เป็นอุโมงค์ใหญ่ๆ มีเดียงเลื่อนเข้าออกได้ พยาบาลและบุรุษพยาบาลช่วยกันประคองฉันให้ย้ายเตียงไปเครื่องนั้น พนักงานเครื่องนั้นก็บอกให้นอนนิ่งๆ ไม่มีอะไรในอุโมงค์นี้ มันจะเลื่อนเข้าออกช้าๆ นะครับ และบอกต่อว่าเครื่องนี้เขาเรียกว่า MRI =Magnetic Resonance Imaging. เอ็มอาร์ไอ เครื่องมันค่อยๆเลื่อนเข้าจริงๆเลื่อนช้าๆ หยุด เลื่อนๆหยุดๆ ไปเรื่อยๆ นานอยู่เหมือนกันกว่าจะเสร็จ อาการปวดก็เริ่มกลับมาอีกแล้ว แต่ยังพอทนได้ เสร็จแล้วไม่รู้เวล่ำเวลาเลยว่ากี่โมงกี่ยาม เปลี่ยนถ่ายเตียง เข็นขึ้นรถกลับแพทย์ปัญญา เข้าห้อไอซียู แล้วหายาโวลทาเร็นมาให้กินอีก 2 เม็ด นอนหลับไป ตุ่มกลับไปดูแลลูกๆ ตั้แต่เมื่อคืน
วันรุ่งขึ้นพยาบาลมาเรียกเจาะแขนใส่สายน้ำเกลือ หมอศักดิ์ศรี เป็นหมอรับไข้ฉันไว้ หมอเดินมา 2 คนอีกคนหนึ่งผู้ชาย แล้วเข้ามาถามว่า พร้อมจะผ่าตัดหรือยัง ก็ตอบว่าพร้อม และบอกว่าหมอนรองกระดูกสันหลังแตกไปกดทับเส้นประสาทนะ มีโรคภูมิแพ้ และเกาท์ด้วย โทรเรียกตุ่มมาเซ็นรับทราบ (นึกอยู่ในใจว่าเออดีเน๊อไอ้เครื่องนี้มันอ่านรู้หมดว่าเป็นอะไรบ้าง)
เข้าห้องผ่าตัด พยาบาลมาบอกขอฉีดยาหน่อยนะคะ ก็ฉีดยาเข้าไปในหลอดสายน้ำเกลือ แล้วก็ฉีดอีกเข็ม เลยถามว่ายาอะไร พยาบาลตอบว่ายาแก้ปวดกับยานอนหลับคะ แต่อีกสักพักจึงจะขึ้นเตียงนะคะ ขึ้นเตียงแล้วค่อยให้ยาสลบค่ะ พอฉีดยานอนหลับเข้าไป ฉันก็รีบชะหะดะห์เลย พักเดียวจริงๆ พยาบาลมาช่วยกันดึงผ้าปูที่นอนให้ฉันย้ายเตียงไปขึ้นเตียงผ่าตัด ตอนนั้นกำลังง่วงๆมากๆ แต่ยังรู้สึกตัวอยู่ หมอไพรัช ประสงค์จีน พ่อเพื่อนวาลิด เอมอร ประสงค์จีน เข้ามาประจำที่ข้างเอวฉัน ขณะนี้นอนหงายอยู่ หมอวิสัญญีเข้ามายืนทางหัวนอน แล้วหยิบฝาครอบจมูกมาครอบจมูกแล้วบอกว่าจะให้ดมยาแล้วนะคะ ฉันก็กล่าวชะหะดะห์อีกครั้ง ตอนฉีดยานึกว่าจะสลบไปเลย แต่ที่แท้หมอต้องให้ดมยาสลบ เป็นแก็สชนิดหนึ่งที่หมอวิสัญญีปรุงแต่งขึ้นมา ซึ่งพยาบาลเคยมาซักประวัติก่อนเข้าห้องผ่าตัดว่ากินกาแฟไหม กินวันละกี่แก้ว กินน้ำชาด้วยไหม สูบบุหรี่ไหม ดื่มเหล้าไหม เคยใช้ยานอนหลับไหม เคยใช้ยาอะไรบ้าง เคยใช้บ่อยแค่ไหน ปัจจุบันยังใช้อยู่ไหม ก็ตอบทุกคำถามตามตรง พอครอบฝาจมูก หมอบอกว่าจะให้ดมยานะคะ แล้วหมอก็ให้นับเลขได้ไม่ถึงสิบละมั้ง ไม่รู้นับได้เท่าไรหลับไปก่อน หมอไพรัช ก็คงเริ่มลงมือผ่าเลย นอนหลับไปไม่รู้นานเท่าไร ตื่นขึ้นมากลางคันเลย จำได้ว่าฉันนอนในท่าคว่ำ เพราะลืมตาขึ้นมาเห็นหมอวิสัญญีนั่งอยู่ตรงหัวนอนติดๆกับฉัน ฉันลืมตาแล้วเงยหน้าขึ้นมาเจอหมอวิสัญญี เป็นหมอผู้หญิงสวยด้วย (ตอนเข้าห้องผ่าตัดมาหันไปพูดคุยกับหมอไพรัช เลยไม่ทันเห็นหมอวิสัญญี และตอนที่มายืนอยู่บนหัวนอนก็มองไม่เห็นเห็นแต่มือยื่นมาครอบฝาปิดจมูก กับเสียงพูด) หมอวิสัญญีพูดกับหมอไพรัชว่าคนไข้ฟื้นก่อนค่ะ แล้วก็รีบจัดการเอาฝาครอบจมูกฉันโดยพลัน ไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร เพียงมีสติขึ้นมาทักหมอวิสัญญีว่า “อ้าว ..หมอ” เท่านั้น ก็โดนครอบจมูกโดยฉับพลัน  ผ่าตัดเสร็จเมื่อไรไม่รู้ รู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเองว่านอนหงายอยู่และมีอาการเจ็บๆหน้าอก และยังมีแผ่นอะไรไม่รู้ขาวๆ กลมๆ ปิดไว้บนหน้าอก ถามหมอว่าทำนานไหม หมอบอก 6-7 ชั่วโมง แล้วฉันก็มองๆดูหน้าอกตัวเองพร้อมกับเอามือมาจับๆหน้าอก หมอบอกเลยว่าชีพจรคุณต่ำมาก 25 เลยต้องช่วยกระตุ้นหัวใจด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้านี้ ถึงว่า ว่าทำไมเจ็บหน้าอก โดนกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้านี่เอง และทำไมชีพจรเราต่ำมากขนาดนี้หนอ สักพักหนึ่งก็หลับไปอีก พยาบาลเข็นเข้าห้อง ไอซียูมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ นอนห้องไอซียู อยู่คืนกับวัน แล้วก็ได้เข้าห้องพักฟื้น มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง 2 ถุงน้ำเกลือเลย พยาบาลบอกว่าน้ำเกลือกับสารอาหารค่ะ และทุก 4 ชั่วโมง ไม่ว่าหลับหรือตื่นจะต้องถูกฉีดยาปฏิชีวนะ อะม็อกซิน  Amoxin ถ้าหลับนางก็จะปลุกก่อนแล้วฉีดเข้ากระเปาะสายน้ำเกลือ เวลาเดินตัวยาเข้าเส้นรู้สึกได้เลยว่ายามันวิ่งไปถึงไหนๆ เพราะมันเหมือนกับมีความเย็นวิ่งเข้าไปเส้นเลือดแล้วมันก็วิ่งซ่านไปทั้งตัวเรา หลังจากผ่าตัดเสร็จหมอจะใส่ที่ครอบแผลมาให้เป็นฝาโก่งๆ มีรูระบายใหญ่เท่าแผลผ่าตัดคือ 10เซ็นติเมตร และในวันที่ผ่าคัดเสร็จออกมาจะมีสายยางเล็กๆเท่าสายน้ำเกลือเสียบอยู่ในแผล ออกมาเข้าขวดน้ำเกลือเปล่า และมีสายยางเสียบเข้าไปข้างในรูฉี่ ให้ไหลเข้าไว้ในขวดน้ำเกลือเปล่าอีกด้วย
ตอนนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันทำตะยัมมุมกับผ้าปูที่นอน แล้วละหมาด ละหมาดได้ไม่รู้กี่เราะกะอัต มันก็ผล๋อยหลับไป ละหมาดไม่ทันจบผล๋อยหลับทุกทีเลย
แม่และน้าอัมรามาเยี่ยม แล้วฉันเหมือนกับจะจาม เหมือนกับจะติดเชื้อหวัดก็เลยบอกแม่กับน้าอัมราว่า ดูเหมือนจะติดเชื้อหวัดจากแม่หรือน้านี่แหละทำให้จะจาม ถ้าจามแล้วเดี๋ยวแผลจะฉีก จะปริ ก็กราบขอบคุณแม่และน้าที่มาเยี่ยม เพื่อนตุ่มคนหนึ่งมาเยี่ยมแต่ฉันจำไม่ได้ว่าเป็นใคร ต้องถามตุ่ม หลายๆคนที่ฉันจำไม่ได้ นึกแปลกใจแล้วคุยกับตุ่มว่า น่าจะสูญเสียความทรงจำบางส่วนแล้วละ ขนาดเพื่อนสนิทๆ แท้เลยยังจำทั้งชื่อทั้งบ้านไม่ได้ โอ๋ (สรรเสริญ)กับนกยูงมาเยี่ยมจำได้ นอนพักฟื้นในโรงพยาบาลอยู่5 - 6 วัน กลับมาบ้านตุ่มจะกั้นห้องชั้นล่างใส่มุ้งลวดให้ฉันก็เห็นว่า ตอนอยู่โรงพยาบาลก็หัดเดินบ้าง กลับมาบ้านแล้วก็หัดเดินตอนเย็นๆบ้าง ไม่น่ามีปัญหาอะไร ก็เดินขึ้นบันไดไปนอนชั้นบน ขึ้นๆลงๆ มาได้ครึ่งเดือน เช้าวันหนึ่งตื่นมาจะเข้าห้องน้ำ เดินออกจากห้องมาดีๆ นี่แหละแต่พอจะลงบันไดชั้นบนสุด 2 ขั้นนี้มันจะสูงกว่าบันไดปกตินิดนึง ไม่รู้ว่าก้าวขาลงมาอย่างไร รู้สึกว่าตัวฉันมันทรุดลงมาเหมือนจะล้ม แล้วเกิดอาการเกรงอย่างแรงขึ้นมา กระดูกเทียมที่หมอทำใส่ให้มาหลุดออกมาทับเส้นประสาทอีก นอนสลบสไลอยู่บนเรือนทรงไทยเก่าอยู่จนเช้า ตุ่มตื่นขึ้นมาเห็นเข้าก็สงสัยว่ามานอนทำไมที่นี่ ปลุกถามว่าเป็นอะไร ฉันก็บอกว่าสงสัยกระดูกแตกอีกละมั้ง มันปวดหลังเหมือนที่เคยเป็นมานั้นแหละ ตุ่มโทรศัพท์เรียกโรงพยาบาลมารับไปเข้าโรงพยาบาลแพทย์ปัญญาอีกที นอนรอหมอครึ่งวันกว่า เพราหมอติดผ่าตัดเหมือนกัน ระหว่างหมอยังไม่มา หมอคงสั่งโรงพยาบาลว่าให้เอ็กเรย์คอมพิวเตอร์ดูก่อนว่ากระดูกเทียมมันหลุดออกมาอย่างไร จนเย็นหมอจึงมา เอาแต่บ่นว่าคุณไปทำอะไรมามันถึงหลุดออกมาได้ ผมว่าผมใส่ไว้แน่นหนาดีนะ ดูท่าหมอจะไม่สบอารมณ์ ก็ตอบหมอไปดีๆ ว่าผมก็ไม่อยากให้มันเป็นอีกหรอกครับ แต่มันก็เป็นไปแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเหมือนกัน หมอบอกว่า แล้วจะผ่าอย่างไรแผลยังไม่แห้งดีเลย ฉันก็บอกหมอว่า ผ่ามันที่แผลเดิมนั่นแหละครับ เป็นอะไรให้มันเป็นไปเลยครับผมไม่ตำหนิหมอหรอกครับ ดูหมอก็เย็นขึ้นมากแล้ว หมอบอก เอา เอา ผมจะผ่าแผลเก่านี่แหละ คุณเตรียมตัวนะ หมอก็เดินออกไป พยาบาลก็เข้ามา เตรียมวัดไข้ เช็คความดัน เจาะเส้นเลือดใส่กระเปาะสายน้ำเกลือ เข็นขึ้นไปชั้น 2 พักหน้าห้องไอซียูนิดนึง แล้วเดี๋ยวเดียวพวกเมื้อคลุมเขียวก็ออกมาเข็นเตียงเข้าห้องผ่าตัด ฉีดยานอนหลับเข้าเส้น ฉีดยาแก้ปวดเข้าเส้น ช่วยกันดึงผ้าปูที่นอนข้ามไปเตียงผ่าตัด นอนอยู่พักเดียวหมอวิสัญญีเดินเข้าห้องมา หมอวิสัญญีคนนี้ตัวสูงใหญ่ไม่สวยเท่าคนก่อน เข้ามาประจำที่แล้วก็บอกว่า จะให้ดมยาแล้วนะคะ ฉับพลันนั้นก็เอาที่ครอบจมูกมาครอบ ฉันก็กล่าวชะหะดะห์ สักพักเดียวรู้สึกง่วงมากแล้วหลับไป มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง เสียงรถมอร์ไซค์เสียงผู้คนคุยกันได้ยินเข้ามาในห้องไอซียู ลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มสติแล้ว ได้ยินเสียงเตียงข้างขวานอนร้องครวญคราง อื้ออ้าๆ ด้วยความเจ็บปวด ผ้าพันแผลเต็มตัวไปหมด ฉันเห็นแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็หลับต่อไปอีก เย็นๆ มีพวกพยาาลพนักงานมากัน4-5คน มาย้ายฉันให้ไปขึ้นอีกเตียงหนึ่ง แล้วเข็นเข้าห้องพักฟื้น หลับตลอด ตุ่มมาเมื่อไรไม่รู้ คุยโน่นคุยนี่สักพักฉันก็หลับอีก พักฟื้นในโรงพยาบาลได้ 5 -6 วันหมอให้กลับบ้านได้ ขณะที่ยังนอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ตุ่มอยู่บ้านจัดการสร้างห้องข้างล่างเรียบร้อยแล้ว ซื้อเตียงคนไข้มาไว้แล้ว ก็ดีสะดวกมากที่นอนข้างล่าง อยู่ข้างล่างอาบน้ำละหมาดได้ง่าย แต่ละหมาดไม่ทันจบ ทนไม่ไหวต้องเลิกละหมาดล้มตัวลงนอน (นั่งละหมาดบนเตียงคนไข้) เย็นๆ ตุ่มพาเดินทั้งผ่าครั้งแรกและผ่าครั้งที่2 การเดินก้าวเท้าออกไปนี่มันจะก้าวไม่ค่อยออก ต้องนึกในใจว่าเดินนะ เดินนะ จึงจะก้าวเท้าออกเดินได้ ผ่าตัดสองครั้งหมดไปประมาณห้าแสนบาท
ตั้งแต่ผ่าตัดครั้งแรกแล้วที่ธำรงมันสั่งเข็มสั่งปั้นจั่นตอกเข็มเข้ามาไซท์งานแล้ว ฉันให้แผนที่การแบ่งที่ดิน เอาไปทำการปักหมุดแบ่งเขตที่ดินด้วยกล้อง มาทำแผนที่เขตที่ดินของแต่ละล็อก แรกทีเดียววัดแบ่งญีฮีมกับกองมรดก เป็นสองส่วน แล้วมาแบ่งของกองมรดกออกเป็น 4 ส่วน ตามแผนที่ที่ฉันทำมาจากออโต้แคด ระยะไม่ผิดเยนเพราะแบ่งทศนิยมเป็น4 จุดเลยละเอียดมากพอ
ให้ไบ๋ไปช่วยดูเวลาปั้นจั่นมันลากเสาเข็ม ตอนตอก ถึงจะดูไม่เป็นแต่ก็ยังทำให้ช่างมันเกรงใจ ไม่ชุ่ยมากนัก แต่พวกปั้นจั่นมันมีปัญหาอะไรไม่รู้ หรือว่าเสาเข็มมาส่งไม่ทันมันเลยหยุดตอกคอยเข็ม ไม่มาทำงานตั้งหลายวัน จนฉันออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านได้สัก 2 สัปดาห์แล้ว รู้สึกตัวว่าแข็งแรงขึ้นแล้ว เดินก็คล่องขึ้นแล้ว แต่ยังต้องใช้ไม้เท้า ก็ตัดสินใจข้ามถนนมาดูงาน ตอกเข็ม ตอกจากด้านในออกมา ถึงที่ฉันเองพอดี ดูๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เช็คโบลวเค้าท์ก็ปกติดี จนมาตอกของญีฮีม เกือบจะหมดอยู่แล้ว เกินครึ่งมาแล้ว มีอยู่ต้นหนึ่งเช็คโบลวเค้าท์ได้ผิดสังเกต ก็สั่งเข็มเล็ก ไอ 22x22 9.50 เมตรเชื่อมต่อ 2 (เดิมใช้ไอ25 x 25) ตอกคร่อมห่างของเดิม 30 ซ.ม. แนวออก-ตก ตอนตอกเข็มธำรงไม่ได้อยู่ดูแล ไปดูงานที่ชลบุรี เย็นๆ มาแวะเดี๋ยวเดียวก็กลับบ้าน ตอกเข็มเสร็จก็ปล่อยทิ้งไว้ แบบก่อสร้างที่ได้มาจากเขตมันไม่ถูกตามแบบของฉันที่เคยคิดแบบไว้ จึงเอาแบบที่ฉันร่างไว้มาเทียบเป็นหลัก ธำรงมาแจ้งว่าจะมาทำแคมป์เทปูนทำพื้นแคมป์ และอีกสัปดาห์มาสร้างเพิงพักโดยมีพื้นซิเมนต์เทไว้แล้ว สร้างเสาวางคาน ปูพื้นไม้อัดอีกที สูง 30-40 เซนติเมตร สร้างอ่างอาบน้ำก่อด้วยอิฐบล็อกฉาบปูนด้านใน สร้างอ่าง2 ใบ เทปูนรอบๆบริเวณอ่างกว้างพอสมควร ห้องส้วมแยกออกไปต่างหาก หลังละ 3 – 4ห้อง 2หลัง แล้วเริ่มพาคนงานเข้ามา แรกทีเดียวที่เข้ามาสร้างบ้านพัก ไม่ได้ทำรั้วรอบขอบชิดบริเวณก่อสร้าง ทำให้เครื่องตัดเหล็กของธำรงมันหาย ก็เลยทำรั้วสังกะสี ด้านหน้ามีประตูใหญ่ 2 บาน และทำรั้วทึบด้านข้างด้านสลัมที่ดินสุเหร่า ตีแบบผังแผนที่ดินอีกที แล้วทำการวัดระดับความลึกที่จะต้องตัดหัวเสาเข็ม ฉันก็มาดูงานบ้าง พอเหนื่อยก็กลับเข้าบ้าน ธำรงทำงานชุ่ยมากจากโครงสร้างรากฐานจนถึงชั้น 2 ทำชุ่ยมากเทปูนเสาก็มีปัญหาปูนไหลออกมากเมื่อแกะแบบออกจึงเป็นรูกลวงโบ๋ สั่งให้รีบอุดด้วยอิพ็อกซี่ก็ไม่ทำ เสาเอียงโย้มากตั้ง 3-4 เซนติเมตร ผสมปูนก็ผสมเหลวใส่น้ำมากเกินไปชั้นล่างกับชั้น 2 แนวตั้งไม่เช็คดิ่งให้แม่นยำ ชั้น2 ยื่นล้ำออกเกินชั้นล่างอีก บางหลังชั้นบนหดมากกว่าชั้นล่าง ใส่เหล็กเสริมพิเศษก็ไม่ใส่ บอกใส่ไม่เป็น และอีกหลายอย่าง มีปัญหามากๆ ฉันก็ไล่ออกไป บอกเลิกสัญญาธำรงไปเลย
วาลิดจบประถม 6 ที่พิบูลย์เวศม์แล้ว เมื่อเดือนมีนาคม แล้วไปเขาเรียนต่อที่โรงเรียนศรีพฤฒา หมู่บ้านนักกีฬา

ปี 2539 บอกเลิกสัญญาธำรง (ประมาณกลางเดือนมกราคม 2539) เพราะผิดข้อตกลงหลายอย่าง เช่นเอาผู้รับเหมาร่วมเข้ามา ทำงานชุ่ยมากหลายแห่ง เตือนให้ซ่อมแซมทันทีก็ปล่อยปะละเลย ทีแรกมันไม่ยอม โวยวายฉันเอาหลักฐานที่ถ่ายรูปเทปูนมาให้ดูมันก็อึ้งไป ให้ออกได้มันเรียกค่าเสียหาย 5 แสน แต่ให้ไปแสนเดียว แต่เรายึดป็อปอัพ และโม่ปูน เพิงพัก โมลด์ (Mold) แบบเหล็ก และไม้แบบที่เป็นไม้ มีคนงานเก่ามันตกค้างอยู่ 2 คน ไอ้เขียน กับไอ้ยูร ไปหนองบัวแดงชัยภูมิบ้านไอ้เขียน แผลที่หลังยังไม่ค่อยสนิทดีเท่าไรเลย แต่จะทำอย่างไรได้งานต้องเดินหน้าไม่อย่างนั้นเจ๊งแน่ๆ ได้คนงานขี้ยามาเกือบสิบคน ค่าแรงตั้งแต่ 90 – 120 บาทต่อวัน ทำงานกันพอไปได้ไม่เสียงาน แต่ก็เหนื่อยมากที่ต้องควบคุมทุกขั้นทุกตอน ต่อมาให้ไอ้ยูรกลับบ้านไปหาคนงานมาให้ ได้น้องเขยมาคนเดียว
ทำงานเต็มที่แล้วต้องโทรศัพท์ติดต่ออะไรๆ ก็เลยซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบ WorldPhone 800 ของบริษัทTAC (Total Access Company) ใช้ในต่างจังหวัดยอดเยี่ยมมากชัดแจ๋ว
Motorola MicroTac ระบบ 800 หมายเลขโทร. 01-405-322 

ต่อมาหลังเดือนเมษายนไปแล้ว บังเซม (เกษมน้องบังดิน) พาคนงานมาฝากทำงาน 2-3 คน ไอ้ยศ
หัวหน้าทีม นึกว่าจะเก่งอุตส่าห์ให้ค่าแรงตั้ง 120 มันบอกที่บ้านมันมีคนงาน บ้านอยู่มหาสารคาม  ไปมหาสารคามกับไอ้ยศ ไปยังไม่ทันถึงบ้านเลยมันขอเงินซื้อเลือด ซื้อเนื้อ ซื้อเหล้า พอถึงบ้านมันก็มีพรรคพวกมาล้อมวงแล้ว ฉันนอนเอนหลังพักอยู่บ้านญาติไอ้ยศ ละหมาดย่อไปตามเวลา รุ่งขึ้นได้คนงาน 13 คน ผู้หญิงมากกว่า ให้ค่าแรง 80 -100 ไอ้ยศมาต่อรองให้เพิ่มค่าแรง แต่ดูแล้วมันงานไม่เป็น เลยบอกไอ้ยศว่าพวกมันทำงานไม่เป็นให้แค่นี้แหละ ประมาณเดือนมิถุนายน ไปบ้านไอ้ยูร ได้คนงานมา 7-8 คน ได้คนงานไม่เป็นงานอีกเหมือนเดิม ให้ค่าแรงแค่ 90-120 คนงานในขณะนี้มีมากแล้ว ที่พักไม่พออยู่ ต้องสร้างเพิ่มขึ้นอีกทางด้านหน้ารั้วสังกะสีอีกหลัง งานเดินหน้าไปด้วยดี มีคนงานบางกลุ่มเลิกทำแล้วกลับบ้านไปหลายคน บางกลุ่มก็มีปัญหาเรื่องค่าแรง บางคนถึงขนาดคิดจะทำร้ายฉันก็มี ก็เลยต้องระวังตัว นั่งทำงานเอกสารก็นั่งให้หลังใกล้ชิดผนัง ด้านข้างมีวัสดุก่อสร้าง ให้มีทางเข้ามาหาเราได้ด้านหน้าทางเดียว และก็เร่งให้ไอ้พวกไม่ดีพวกนั้นออกจากแคมป์โดยเร็ว พวกมันไปแจ้งความ ตำรวจก็มาที่แคมป์ แต่ฉันเอาเอกสาร สมุดบันทึกและใบลงเวลาทำงานให้ตำรวจดูก็เข้าใจเหตุการณ์ แล้วเตือนพวกคนงานว่า เถ้าแก่เขามีหลักฐานแข็งแรงว่าพวกคุณทำงานไม่ดีเอง เหลือคนงานไม่มากเท่าไรแล้วตอนนี้ งานก็เดินหน้าถึงคานชั้น4 แล้ว สั่งให้ทำโอทีเกือบทุกวัน จนพวกคนงานบางกลุ่มบอกว่าให้หยุดซักเสื้อผ้าบ้างเถอะ ก็ขนาดวันแรงงาน 1 พฤษภาคม ยังไม่ไห้หยุดเลย สั่งให้ทำงานโดยให้รางวัลค่าแรงครึ่งวัน รวมเท่ากับ 1.5 เท่าของค่าแรง วันโน่นวันนี่ทำทั้งนั้นไม่มีหยุดขณะที่งานเดินหน้าไปเรื่อยๆ ฉันก็ต้องคิดแผนงานล่วงหน้า ตรวจสอบปริมาณวัสดุ ตะปู ลวดผูกเหล็ก หิน ปูน ทราย ปริมาณอิฐมอญที่ต้องใช้ สอบราคาและแหล่งผลิต ปูนซิเมนต์ และวัสดุอื่นบางประเภท ชวนตุ่มไปติดต่อร้านเก่าแก่ “เลิศพนาค้าไม้” รามอินทรา กม 6  เข้าไปคุยตอนแรกพนักงานขายก็ตอบอึกๆอักๆ ถามว่าจะซื้อทีละมากๆ จะลดให้ได้ไหม ก็ต้องเดินเข้าไปถามเถ้าแก่ร้าน พอคำถามที่ 2 ทางร้านขายปูนเพชร ขอสั่งเป็นปูนช้างได้ไหม เท่านั้นแหละเถ้าแก่ (น้องชายคนเล็ก) ออกมาคุยด้วย ตุ่มเห็นว่ายังหนุ่มมาก ก็เลยถามหาเถ้าแก่ (เพิ่งจะรู้ว่าคือพี่ชายคนโต) น้องชายก็ให้คนไปตามพี่ชายใหญ่ออกมา ท้าวความนิดหน่อยก็จำได้ว่าเคยขายของให้เยาะห์ตุ่มเมื่อสมัยหลายปีก่อนหน้านี้ พอคุยกันจำได้ ตุ่มก็ตกลงเรื่องซื้อวัสดุ จ่ายด้วยเช็คเงินภายใน 1 เดือน ส่งอะไรมาภายใน1 เดือนจะจ่ายเช็คเงินสดขีดค่อมป้องกันคนเก็บเงินเชิดเช็คหนี เพราะงวดหนึ่งหลายแสนบาท พอหลังๆ ทางร้านขยายให้วงหนี้สินได้สูงถึง 6 แสนบาท ก็ดีเราจะได้ไม่เปลืองสมุดเช็ค ตกลงทางร้านขายตราเพชร ปอร์ตแลนด์อยู่ ก็คิดราคาที่ถุงละ 79.- ในขณะที่ตลาดขายปลีก 85.- แต่ต้องตกลงกันว่าให้เราจะต้องสั่งล็อตละ 20ตัน=400ถุงเป็นอย่างต่ำ และต้องขนลงเข้าเพิงเก็บปูนที่แคมป์ด้วย) อำนาจการต่อรองราคาสินค้าของฉันว่าเราจะจ่ายเงินสดหน้างาน ทำให้ราคาสินค้าลดลงได้มากทีเดียว
ระบบงานมีโม่ปูน 2 ตัว มีลิฟท์โครงเหล็กใช้มอร์เตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน กะบะลิฟท์บรรจุปูนเปรียกได้ครึ่งโม่ การขนส่งปูนไปตึกอื่น เราออกแบบให้มีสะพานไม้ข้ามตึกไป ทำแต่ละชั้นในระยะเวลาเดียวกัน สะดวกและรวดเร็วมาก
คิดแบบหน้าต่างประตูหน้างานวัดจากระยะจริงแล้วเขียนแบบเสนอราคาแล้วตกลงซื้อขายกันด้วยเงินสด ก็ประหยัดไปได้อีกมาก ประตูห้องน้ำใช้ประตู PVC ขนาด 80 x 180 เซนติเมตร มีช่องระบายอากาศด้านล่าง ราคา ณ ตอนนั้นยังแพงเพราะเป็นสินค้าใหม่เพิ่งผลิตมาขายยุคแรกๆ
คิดคำนวณวัสดุแผ่นพื้นสำเร็จ คำนวณเหล็กตะแกรงสำหรับใส่พื้นเทปูนแทนเหล็กเส้น 2หุนที่ต้องมานั่งผูกลวดอีกเสียค่าแรงคนงาน งานโครงสร้างไปได้มากโขแล้ว ก็ต้องเริ่มก่ออิฐมอญได้ พอจะก่ออิฐก็ต้องเช็คระดับพื้นแต่ละชั้นเพื่อจะได้ติดตั้งประตู อีกสาระพัดที่ต้องคิดคำนวณสั่งวัสดุล่วงหน้าให้ทันกับงานคิดค่าแรงคนงานเดือนละ 2 หน สารพัดที่จะต้องคิดคำนวณ แล้วพร้อมกันนี้ก็ต้องเดินตรวจตรางานให้เป็นไปด้วยดีอีกด้วย วันๆ ได้นอนหลังเที่ยงคืน ตีห้าครึ่งต้องตื่นมาละหมาด กินกาแฟ เตรียมไปส่งวาลิดไปโรงเรียนศรีพฤฒา วันไหนที่ต้องคิดค่าแรงคนงานอีกก็ต้องทำจนเสร็จประมาณตี 2 (ทำงานดึกๆเพราะงานมันบังคับ มีเรี่ยวแรงทำก็อัลฮัมดุลิลลาฮฺแล้ว) ตุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมต้องนอนดึกๆมากๆ ทำไมไม่นอนเร็วๆ ก็อธิบายว่าถ้าวัสดุขาดช่วงคนงานก็จะไม่มีงานทำ แต่เราต้องจ่ายค่าแรงมันทุกวัน เงินค่าแรงถ้าจ่ายช้าคนงานมันก็จะงอแงเดี๋ยวมีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก คนงานยังไม่พอเพราะออกกันไปมาก ต้องไปบ้านไอ้ยูรอีกครั้ง หลังเข้าพรรษาไปนานแล้ว (เข้าพรรษาวันที่31มิถุนายน) ได้คนงานแล้ว พวกคนงานมันก็เบิกเงินล่วงหน้ากันเลย จะเอาเท่านั้นเท่านี้ ก็เลยบอกพวกมันว่า มารับไปทำงานนะโว๊ยไม่ได้มาให้กู้เงิน แล้วก็นัดมาขึ้นรถซึ่งจะออกเดินทาง หนึ่งทุ่มเริ่มมืดสนิทมองเห็นถนนชัดเจนดีแล้ว มีคนงานมากมากับรถเราไม่พอต้องไปเหมารถสองแถวมาคันหนึ่งส่วนข้าวของบางส่วนและคนงานบางส่วนก็ติดรถมากับเรา เดินทางมาเรื่อยๆ มีคนงานนั่งกะบะมา4คน นั่งในเก๋งหนึ่งคนชื่อไอ้บุญรอด มาถึงเลยแยกปักธงไชย หยิบโทรศัพท์โทรถึงตุ่มเพียงจะบอกว่ามาถึงโคราชแล้วอีกสัก 3 ชั่วโมงก็ถึงบ้าน(สมัยนั้นรถยังไม่ติด) แต่โทรแล้วไม่มีใครรับสาย ก็วางโทรศัพท์ลงในกล่องข้างล่างคอนโซลหน้ารถ ก็ขับมาช้าๆไม่เร็วเพราะของท้ายรถและคนเยอะเร็วแล้วลมมันตีหน้าคนงาน มาถึงแยกหนองไม้ตาย เห็นรถบรรทุกเล็กที่ทางแยกด้านซ้ายจอดจะข้ามไปอีกหากของแยก ที่สุดมันก็พุ่งรถข้ามทางแยกไปก่อนหน้าเรามากทีเดียว โดยที่เราไม่ต้องเบรก เราขึ้นเนินมาด้วยความเร็วจริงประมาณ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอถึงทางแยก ปลายตาเราเห็นแสงไฟรถทางด้านขวามือแว็บเข้าตามา สักไม่กี่วินาทีก็รู้สึกว่ารถถูกชนกระแทกข้างหลังขวาอย่างแรง ท้ายรถปัดไปทางซ้ายมากแล้วก็เกิดการหมุนในขณะนั้นรู้ตัวตลอด ยังกล่าวชะหะดะห์เลยคิดว่าไม่รอดแล้ว พอกล่าวชะหะดะห์จบรถเริ่มปัดไปทางขวาแล้วหมุนม้วนตัวไป2-3รอบแล้วนอนหงายไถลไปกันข้างทางไกลสัก 20 เมตรได้ เครื่องยนต์ไม่ดับ ต้องควานหาสวิทช์เพื่อดับเครื่อง ดับเครื่องแล้วนั่ง งงๆ ว่าจะออกไปอย่างไรได้ คิดไม่ออก เอาเท้าถีบกระจกรถด้านประตู แต่ไม่แตก ประตูก็ยังปิดแน่นอยู่ ไอ้บุญรอดบอกว่า “หมุนกระลงสิเถ้าแก่” ก็เลยคิดได้ว่า เออ หมุนลงก็น่าจะได้พลางก็หมุนกระจกลง แล้วคลานตามกันออกมาจากในรถ ฉันตกใจมาก หนาวสั่นไปหมด แต่ก็ไม่ได้กลัวตายนะ ไม่ได้กลัวอะไรเลย แต่มันหนาวสั่นไปหมด
สภาพรถที่ลากขึ้นตั้งแล้ว ใครๆมาเห็นก็เดาว่าคนขับตายแล้ว
 

ล้อหลังขวาและดุมเบรกขาดทันทีที่ถูกชน รถมันก็กะบะนิสสันมาด้วยความเร็ว 140 มันโดนไฟรถ 6 ล้อสาดเข้าตา มองไม่เห็นทางแยก มันซี่โครงหัก2-3ซี่ ลูกน้องนั่งมาด้วยไม่เป็นไร มาจากสุรินทร์มาเรื่องรถ10ล้อมันโดนตำรวจยึดไว้ จากคำบอกเล่าของลูกน้องในภายหลังที่เข้าโรงพยาบาลแล้ว
คนงานที่นั่งกะบะมาตายทันที2 ศพกระเด็นลอยไปไกลทางด้านซ้าย 20 เมตร ที่บาดเจ็บสาหัสก็กระเด็นลอยไป 20 เมตรเหมือนกัน 3 คน ในรถ
ไอ้รอดไม่เป็นไรเลย ฉันถูกกระจกบาดนิ้วมือนิดหน่อย รู้สึกตกใจมาก หนาวสั่นไปหมด ได้สติก็โทรบอกตุ่ม ตุ่มก็โทรแจ้งประกันให้ แต่ประกันมันไม่ได้มาที่เกิดเหตุ มาอีกวันรุ่งขึ้นมา มาดูๆ ถ่ายรูป แล้วก็แจ้งเราว่าจะจัดการให้ เรื่องคนงานก็จะเคลมประกันเอาเงินมาช่วยเหลือ ทั้งเจ็บและตาย รถฉันเพิ่งออกมาใหม่ได้ไม่กี่เดือนเลย เพิ่งได้ป้ายทะเบียนขาวมาเอง  ตุ่มขอเบอร์โทรจากเถ้าแก่โรงไม้จากสุรินทร์(คันที่พุ่งชนฉัน) เขาก็ให้นะ แต่พอตรุษจีนตุ่มโทรไปด่าแช่งเขา เขาฟังเฉยๆ ไม่ได้โต้ตอบอะไร
ขณะที่มุดออกมาจากซากรถได้มายืน งง เดี๋ยวเดียว ได้ยินคนตะโกนบอกพวกรถมูลนิธิทั้งหลาย มากันหลายมูลนิธิ เช่น ฮุก31 และอื่นๆ จำไม่ได้
พวกมันค้นกระเป๋าศพกันเก่งมากแป็บเดียวในตัวศพไม่มีเงินแล้วทั้งๆที่เบิกจากเราก่อนขึ้นรถนี่เอง พวกมันเย่งศพกัน แต่ถ้าเป็น คนเจ็บมันโยนใส่ท้ายรถเลยจะรีบไปเก็บศพ พอมาที่โรงพยาบาลก็มาคุยกันเรื่องค่ารถขนศพไปบุรีรัมย์อีก ฉันไม่มีเงินแล้ว ฉันมีนาฬิกาเหลือติดข้อมือเรือนเดียว ยี่ห้ออะไรจำไม่ได้ (มีราคาสูง) ถอดให้แทนค่ารถพวกมัน พวกมันทำท่าอิดอ็อด บ่ายเบี่ยงจะนำศพไปส่งบ้าคนงาน ฉันก็เลยพูดกับพวกมันว่า ไหนว่าเป็นรถมูลนิธิเพื่อการกุศลไง ทำไมมาเรียกเก็บค่ารถอย่างหน้าเลือดอย่างนี้ล่ะ จะไปแจ้งหนังสือพิมพ์ถ้ามาขูดรีดฉัน ในที่สุดพวกมันก็ตกลงจะเอาศพไปส่งให้ แล้วก็ไปถามที่อยู่ของเพื่อนๆ คนงานที่ตามมาดูศพและคนเจ็บ
ตุ่มฝากลูกๆไว้กับเงาะห์ แล้วบังดินกับญีฮีมก็ขับรถมาเป็นเพื่อน เกือบจะตะวันแจ้งแล้ว ญีฮีมก็มาถึงโรงพยาบาลสีคิ้ว ซึ่งฉันเองอาศัยรถลากที่มาลากรถฉันไปโรงพัก เสียค่าลากไปหลายร้อย นั่งรอที่โรงพยาบาล พอเจอตุ่มก็ดีใจ คนงานที่บาดเจ็บก็ถูกนำส่งต่อที่โรงพยาบาลมหาราชในตัวจังหวัดนครราชสีมา บังดินแนะนำตุ่มว่าให้พาฉันไปนอนที่โรงแรมก่อน เพราะตำรวจมันบอกว่าจะมาสอบสวนทำคดีให้เป็นผิดร่วมกัน บังดินก็บอกญีฮีมว่าไปปากช่องก่อน ก็ไปปากช่องห่างจากสีคิ้วมานิดเดียวหาโรงแรมให้ฉันนอน พอขึ้นห้องได้แล้วพวกบังดินก็ไปโรงพักกัน
ฉันหลับสนิทที่โรงแรมจนพวกบังดินกลับมารับกลับบ้าน
หลังจากนอนพักที่บ้านทั้งคืนแล้ว วันต่อมาก็ขับรถเก๋งมิซซูบิชิ แลนเซอร์ ออกจากบ้านจะข้ามถนนไปยูเทิร์นอยู่ๆ ก็มีรถเก๋งมาจากไหนไม่รู้พุ่งมาจากไหน มาเบรกดังเอี๊ยดลั่นเลย ข้างๆขวารถฉันทำหใฉันตกใจมาก กลัวการขับรถเลย แต่ก็ไปโรงพักสีคิ้วจนได้ พอไปถึงก็เข้าไปถามถึงคดี ตำรวจมันบอกว่ามีความผิดร่วม ฉันก็แย้งมันดังลั่นว่าจะผิดได้ยังไงขับรถมาบนถนนหลวงหมายเลข 24 คู่กรณีมาจากถนนเลข 4 หลักนะ ตำรวจเจ้าของคดีมันก็ถามว่า อ้าว รู้เลขหมายถนนด้วยหรือ แต่มันก็ยืนยันว่าจะทำคดีผิดร่วม ฉันก็ชวนตุ่มนั่งรถไปชัยภูมิทันที ทั้งๆที่เย็นแล้ว จะไปขอความช่วยเหลือจากพ่อ โอ๋(สรรเสริญ) คุณพ่อณรงค์ นิติจันทร์ สำนักอัยการเขต 3 ไปถึงบ้านโอ๋แล้วเข้าไปหาโอ๋ทันที โชคดีที่โอ๋อยู่บ้าน ก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง แล้วโอ๋ก็เดินขึ้นบ้านสักพักกลับมาเรียกพวกเราเข้าบ้าน คุณพ่อเดินลงมาจากชั้นบนพอดี ก็แนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนกับโอ๋ บ้านอยู่หัวหมาก บางกะปิ กทม. มีปัญหาว่า ตำรวจเจ้าของคดีที่โรงพักสีคิ้ว จะทำคดีของฉันให้เป็นความผิดร่วม ซึ่งฉันขับรถมาด้วยความเร็ว 8 -90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนถนนสายสีคิ้ว-บุรีรัมย์ หมายเลข 24 แล้วมีรถกะบะวิ่งมาจากทางตรี (คือทางที่หมายเลข4 หลัก ฉันเรียกเอง) พุ่งมาชนฉันด้านท้ายของตัวรถ ที่ล้อหลังขวา จนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต คุณพ่อณรงค์ฟังแล้วก็ว่า ฉันไม่ผิด แต่ทำไมตำรวจจะทำคดีนี้เป็น มีความผิดร่วมกัน คุณพ่อก็ถามว่าตำรวจชื่ออะไร ฉันจำไม่ได้ คุณพ่อก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะจัดการให้ และถามว่ามีอะไรอีกไหม พวกฉันก็ตอบว่าไม่มีแล้ว ขอบพระคุณมากครับ คุณพ่อก็ขึ้นข้างบนบ้าน และบอกกับพวกฉันว่ากลับบ้านขับรถดี ๆ นะ พวกฉันก็ยกมือไหว้และบอกขอบพระคุณมากครับ แล้วฉันกับตุ่มก็กลับบ้านกันถึงบ้านก็ดึกแล้ว
วันต่อมาดูงานแล้วก็ขับรถไปสีคิ้ว พวกญาติคนงานตกลงรับค่าทำขวัญจากคู่กรณีไปคนละไม่กี่ร้อยก็กลับบ้านกันหมดแล้ว ก่อนหน้านั้น ฉันบอกจะทำเรื่องเคลมเงินจากประกันให้ ในเมื่อพวกมันไม่คอยก็ปล่อยเลยไป เรานั่งคุยกับตำรวจเจ้าของคดีอยู่ อยู่ๆ มีเสียงโทรศัพท์ดังที่โต๊ะ
ตำรวจนั้น พอรับสายก็ได้แต่พูดว่า ครับ ครับ ครับ แล้วก็วางสาย หันมาทางเราแล้วพูดว่าคุณพ่อณรงค์โทรมาบอกให้ผมทำคดีให้ถูกต้อง พวกคุณรู้จักท่านหรือครับ ตุ่มก็ตอบว่า รู้จักค่ะ เป็นพ่อที่นับถือกันมา หลังจากนั้นตำรวจมันก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ว่าเรื่องจะให้ผิดร่วม หรืออะไรๆ  คดีสิ้นสุดอย่างไรก็ไม่ชี้แจง เราก็เดาเอาว่า คงหัวหดเลยสิ อัยการเขต 3โทรมาหาแต่เช้านี่ เสร็จจากตำรวจก็แวะไปดูรถที่อู่ รถมันก็ซ่อมเร็วดี นัดเราอีก2 อาทิตย์ ไปดูอีกที เกือบเรียบร้อยแล้ว อู่ก็นัดมารับรถเลย จำวันที่ไม่ได้แล้ว สภาพรถในวันมารับดูเหมือนใหม่มากเลย ทุกอย่างดูดีหมดยกเว้นที่ปัดน้ำฝนไม่มี เราก็เคลมว่า ที่ปัดน้ำฝนไม่มีให้เอามาใส่ อู่มันบอกว่าตอนนำรถมาก็ไม่มี เราก็แย้งว่าเราทำประกันชั้นหนึ่งนะ อะไที่มันมีไม่ครบสมบูรณ์ก็ต้องซ่อม ใส่ เติมให้ครบ ไม่ใช่มาอ้างกับเราว่ามีหรือไม่มีมา จะมาเรียกร้องเงินจากเราในขณะที่รถอยู่ในสภาพออกจากอู่ได้แล้ว ล้างถูรถเรียบร้อยแล้ว คิดว่าเราคงจะรีบๆกลับแค่จ่ายให้พวกมัน 3- 4 พันบาท ค่าที่ปัดฝน 2 ก้าน ในที่สุดมันก็ยอมหาทดแทนมาให้ตามรุ่นของรถ (NISSAN BIG M 2500 bdi) วันที่ไปรับรถที่โคราชชวนย๊าดไปเป็นเพื่อนด้วย เพื่อจะได้ขับรถแลนเซอร์กลับ ฉันและตุ่มขับกะบะนิสสันกลับ
อีกไม่นานต่อมา ฉันชวนตุ่มไปซื้อรถกะบะนิสสันคันใหม่ เป็นรุ่น BIG M 2700 bdi ราคา 380,000.- สุทธิ แล้วรับเทิร์นรถเก่า ให้เรามาเท่าไรจำไม่ได้แล้ว ก่อนรับเทิร์นทางห้างร้านก็เอารถไปขับทดสอบกัน ออกไปถนนพัฒนาการ จนพอใจ ก็กลับมาตกลงรับเทิร์นรถเรา ตอนแรกเข้าใจว่าช่างของห้างร้านที่รับเทิร์นนั้นจะรู้ว่ารถเคยถูกชนมา เราก็ไม่ได้ถามหรือพูดอะไร ปล่อยให้ทดลอขับแล้วตีราคามา ตกลงออกคันหใม่สีทองมาได้ระยะหนึ่งไม่นานนัก ทางห้างร้านโทรเข้ามือถือมาว่ารถเคยถูกชนใช่ไหม ก็ตอบไปว่าใช่ครับ ก็เท่านั้นแหละไม่มีอะไร การงานก็ยุ่งมากขึ้น
เพราะมีพวกเหมาก่อฉาบเข้ามาทำงาน ก็เลยไปชวนดลมาช่วยดูงาน โดยให้ค่าแรงเป็นเดือนละ 10,000.- ของไบ๋ให้ 6,000.- มีบุหรี่ให้ทั้งสองคน

หยิบไปสูบได้อยู่ในสโตร์ มีกาแฟให้กินอยู่ในสโตร์
ฮากีม อิสมาอีล เข้ามาเสนอขายระบบท่อ และเครื่องสุขภัณฑ์ (การัต) ก็เห็นว่าเป็นมุสลิมด้วยกัน และดูน่ารักเพราะทำตัวอ่อนน้อม (บังมาน "แหลม" เดชพลรุ่งเรือง แนะนำมา) ก็รับปากว่าจะอุดหนุน ก็สั่งซื้อระบบท่อ ในเงื่อนไขที่เหลือถ้าไม่เสียหายส่งคืนสินค้าได้ ต่อมาฮากีม เข้ามาปรึกษาเรื่องช่วยซื้อไม้ก่อสร้างให้หน่อยเพราะร้านไม้ติดหนี้ฮากีมไว้หลายแสน ก็ตกลงจะช่วยซื้อไม้ก่อสร้างให้ ก็พอดีต้องการใช้ไม้จำนวนมากพอดี เพราะต้องทำนั่งร้านภายนอกเพื่อฉาบปูน ต่อมาฮากีมก็เสนอให้สั่งสุขภัณฑ์ โถส้วมแบบนั่งยองทรงสูง เพราะเราต้องใช้ปริมาณ เกือบร้อยชิ้น และกระเบื้องปูพื้นและผนังห้องน้ำ ปูนปอร์ตแลนด์เหลือจำนวนมากก็สั่งให้ผู้รับเหมาก่อฉาบเอาไปใช้กันก่อน ช่างปูนมันก็บ่นเอาว่า แห้งเร็วไป และฉาบยาก แต่ก็ทำจนยุบไปเยอะจนเบาใจ แล้วก็สั่งซิเมนต์ก่อฉาบธรรมดามาให้ใช้  ผู้รับเมหาก่อฉาบมีกันเข้ามา 4-5 ราย เหมาก่อฉาบเป็นชั้นๆ ก็มี เหมาหมดตึกเลยก็มี อีชิง (คนสุรินทร์) เป็นช่างก่อฉาบมากับผู้รับเหมาย่อย เย็นมาต้องเบิกเงินเถ้าแก่มันกินเหล้าทุกวัน เถ้าแก่มันหมดงานจากเรามันก็ย้ายไปทำที่อื่น แต่อีชิงไม่ได้ไปเพราะมันมีลูกเล็ก ขวบ 2 ขวบเอง ก็มาขออาศัยทำอยู่กับดล ให้ค่าแรง 150.-
สีภายในทั้ง 3 อาคารใช้ สีพลาสติกโจตัน สีฝ้าเพดานและห้องน้ำและระเบียงหลังห้องใช้ สีพลาสติดภายนอก โอตานิ

ปี 2540 ปีใหม่ 2540 รู้สึกเครียดกับงาน ก็เลยบอกดลว่าจะไปพักผ่อนสัก 2-3 วัน ไปพิษณุโลก อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า กลับมาถึงบ้านงานก็ไปด้วยดี โครงสร้างเสร็จหมดแล้ว ก่อฉาบก็ไปกันได้มากแล้ว พวกช่างหินขัดทรายล้างก็เข้ามาติดต่อ มี 2 เจ้า ตึกญีฮีมเจ้าหนึ่ง ชื่อช่างไฉน สั่งของแล้วมาทำได้นิดหน่อยแล้วก็ทิ้งงานไป ช่างอีกคนก็รับทำตึกเรากันตึกพี่สาว ระบบท่อก็มีมารับเหมาเป็นตึกๆ ไป พวกปูกระเบื้องก็เหมาทำกันไป จนเสร็จทุกตึกแล้ว ตุ่มก็ชวนป้าวอพี่สาวให้ทำอีกตึกหนึ่ง 2 ชั้น ตกลงก็ทำ ฉันก็ให้ผู้รับเหมาก่อฉาบที่ยังเหลืออยู่ที่แคมป์รับช่วงเหมาทำไป คิดราคาป้อวอ 2 ชั้น 10 ห้อง 1,200,000.- (ห้องละ 120,000) ใช้ปูนปอร์ตแลนด์ ใช้สีโจตันภายในและใช้สีไอซีไอทาภายนอก เสร็จจากบ้านป้าวอ ก็ให้เหมาทำบ่อเก็บน้ำใต้ดิน ทั้ง3 ตึก เสร็จแล้วก็ให้เหมาทำครัวฉันและครัวไบ๋ เสร็จทุกอย่างแล้ว ช่างสี ช่างฝ้าเพดาน ช่างไฟฟ้าวางสายโทรศัพท์ด้วย มีเซลล์ขายสีโจตัน เสนอขายเก็บเงิยมัดจำไปแล้วเอาสีมาส่ง ล็อตแรกมาส่งก็เก็บเงินทั้งหมดในล็อตไป ต่อมาล็อตที่2 คนส่งเอาสีมาส่งแต่บอกว่าไม่มีใบแจ้งหนี้ มีแต่ใบเสร็จมา ก็ขอดู จ่ายตามจำนวนสีที่มาส่ง แต่ตุ่มไม่ได้จ่ายเช็คใครไปเลยเรื่องสี จ่ายเพียงครั้งเดียวในล็อตแรก เงินมัดจำจ่ายด้วยเงินสด เมื่อคราวสั่งซื้อประตูห้องน้ำ PVC ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้คือเซลล์มันรับเงิน(เช็คเงินสดขีดคร่อม) งวดแรกจากเราแล้วเชิดเงินหนีไป ทางร้านต้องนำสินค้ามาส่งจนครบจำนวน แต่เรื่องชำระไม่ตรงกับเรา เราต้องชำระ อีกจำนวน แต่ทางร้านยืนยันว่าอีกราคาหนึ่ง ซึ่งถูกลงหลายพันบาท เราก็ งงๆ ว่าจ่ายไปเท่าไรแน่ก็เลยเออๆออๆไปด้วย  ต่อมามีพวกระบบตู้สาขาโทรศัพท์เข้ามาเสนอขายหลายบริษัท

บางรายมาเสนอขายแล้วดูท่าทางจะมีของแถมอีกด้วย ย้ำว่าโทรหาได้ทุกเวลานะคะ ตอนเซลล์ขายสีอีกเหมือนกันดูทีท่ามีบริการแถมให้ ว่าโทรหาได้นะคะ เปิดเครื่องตลอด 24 ค่ะ เวลาจะซื้อสีซื้อวัสดุอุปกรณ์อะไรๆนี่ถ้าบอกว่าซื้อด้วยเงินสดนี่ อำนาจต่อรองได้มากทีเดียว ตุ่มกับป้าวอมักจะอยู่ด้วยในเวลาพวกเซลล์ต่างๆมาเสนอขายของกับฉันและการต่อรองของฉันก็รับรู้กันหมด เกือบจะสิ้นสุดงาน แคมป์ต้องรื้อ ไม้แบบกองไว้หน้าทางเขาเป็นพะเนินเท่าภูเขาเลากาเลย ป็อปอัพเหล็กก็เป็นกอง ไม้อัด10มิลที่ใช้ปูพื้นเพิงพักคนงานก็เป็นกอง บังโรนมาขอซื้อไม้แบบ ไม้อัดปูพื้น เครื่องมือไป 2 รอบ ตกลงเรียกราคาฉันท์พี่น้อง ไม่ได้ว่าอะไร พอหลายปีต่อมาเอามาพูดว่าฉันเรียกแพงเกินไป แพงแล้วรับของไว้ทำไม ฉันคุมงานก่อสร้างมามากมาย ฉันรู้สิว่าราคาวัสดุแต่ละชิ้นเท่าไร ทุกชิ้นฉันขายต่ำกว่าครึ่งราคาทั้งนั้น ถ้าไปซื้อของเก่าจากตามร้านก็จะแพงกว่าของฉันแน่นอน แถมต้องจ่ายสดด้วย แต่กับฉันติดสินเชื่อเอาไว้ จนป่านนี้ 18 ปีแล้วยังใช้ให้ไม่หมดเลย ดูเอาเหอะคนเหนียวหนี้ อัลลอฮ์ (พระเจ้าอิสลามของฉัน) ทรงรังเกียจคนเหนียวหนี้ ทุกอย่างเสร็จพร้อมที่จะส่งมอบแล้ว รื้อแคมป์ทำสะอาดบริเวณ มีอีชิงกับสมวน ตาเปรม อยู่ทำกันจนหมดงาน
แต่อีชิงขออยู่ต่ออีกเลยให้ขึ้นไปอยู่ดาดฟ้า ช่วยตุ่มทำทุกอย่าง แต่ต้องเบิกเงินทุกเย็นกินเหล้า หมดงานมันก็มาช่วยจัดพวงกุญแจแต่ชั้นแต่ละตึก
เพื่อเตรียมส่งมอบตึกให้เจ้าของ ติดต่อน้ำ-ไฟ ขอโทรศัพท์ให้เรียบร้อยทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกรกฎาคม ส่งมอบอาคารให้เจ้าของเข้าตรวจตราและรับอาคารไปเรียบร้อยในเดือนสิงหาคม รับเงินค่ารับเหมาทำ 4 ตึกในวันส่งมอบ

วงเงินที่ฉันบริหารงานเป็นเงินรวมทั้งหมดทุกโครงการณ์  (5.5ล้านx3+1.2ล้าน=17ล้าน 7แสนบาท) เสร็จแล้วมาหวนกลับคิดดูว่าเออ ฉันควบคุมวงเงิน 17ล้านมาได้ตลอดรอดฝั่งนี่เก่งมากเลยนะ แต่ก็ชุกโกรต่ออัลลอฮ์ตลอดเวลาที่ทำงานชุดนี้ได้รอดพ้นมาได้ มีตุ่มช่วยจ่ายเช็คและค้นหาบริษัทห้างร้านวัสดุต่างๆที่ฉันต้องการ และไปเจรจาต่อรองให้
ฉันทำงานคนเดียว คิดแบบคนเดียว ควบคุมงานคนเดียว หาแรงงานคนเดียว ทำบัญชีวัสดุคนเดียว ทำบัญชีค่าแรงคนเดียว วางแผนงานคนเดียว
ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยความกรุณาปรานีจากอัลลอ์แท้ๆ ลำพังฉันเองไม่มีพลังอำนาจอะไรเลยที่จะทำไปให้สำเร็จ แค่คิดเรื่องปริมาณเหล็กเส้น

อัลฮัมดุ ลิลลาฮิ ชุกุรรุลอฮิ กะซีร่อน ฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างสุดที่จะหาคำเปรียบเทียบว่าอย่างไร มุมมองจากถนนพระราม9 แยกรามคำแหงมานิดเดียว และซิเมนต์ หิน ทราย ไม้แบบ เป็นบางคนก็แทบแย่แล้ว

ภาพเมื่อปี 2547
หลังนี้ราคาล้านสอง 10ห้อง ปี2539 ยังไม่ต้องซ่อมสีซ่อมอะไรเลย
 3หลังๆละ 5.5ล้าน
google earth ตำแหน่งบ้านฉัน Rama IX Soi 27 Khwaeng Hua Mak, Khet
 Bang Kapi Krung Thep Maha Nakhon 10240 
13°44'49.6"N 100°36'25.8"E///13.747103, 100.607157
 
ภาพถ่ายจาดกูเกิ้ลสตรีท 
วันที่ 24 สิงหาคม ส่งมอบอาคารแล้วก็โล่งอกมากๆ
ตอนขนย้ายบ้านโดยทยอยไปขนทีละนิดหน่อยไปกับอีชิงผู้ช่วย ถ้าเป็นตู้หรือของหนักก็จะชวนคนงานผู้ชายไปช่วย ย้ายบ้านมาแล้วเปิดขายของ น้ำแข็ง น้ำขวด M150 กระทิงแดง ขนม สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ ขายน้อยจำนวน แต่เยอะชนิด

ปี 2541 อีชิงอยู่บ้านแล้วไม่มีอะไรทำ มันคิดขายข้าวแกง ทำแกงขายมันบอกว่ารู้จักร้านขายไก่แขก แต่มันไม่รู้ว่าเลือดกินไม่ได้ มันซื้อเลือดมาใส่แกงด้วย ก็เลยดุว่าแล้วไล่มันออกจากบ้าน มันก็กลับไปบ้าน

มันร้อยรัดท่อนสะพานเป็นชิ้นๆมาเรียกันแล้วเลื่อนเครนไปต่อกัน
แล้วรัดตรึงด้วยสายสลิงภายใน
สะพานทางด่วนพิเศษช่วงแยกราม

ปี 2542 ซัลมาขึ้นชั้นมัธยมปีที่ 1 โรงเรียนศรีพฤฒา วาลิดอยู่มัธยมปีที่ 3 ก็ย้ายสระว่ายน้ำกันไปว่ายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา(พัฒนาการ)
กลางปี ป้าอัมคุยเรื่องเที่ยวป่าเขาธรรมชาติกับป้าจิ๋มแล้วก็ชวนกันไปชมทุ่งดอกกระเจียว ชัยภูมิ ก็เตรียมสัมภาระไปกัน มีน้องนี ไปด้วย ปรากฏว่าฝนตกอย่างหนัก เต้นรั่วเปียกปอนกันไปตามๆ น้องนีมีเต้นต์แบบไม่มีหลังคาชั้นนอก น้ำฝนเต็มเต้นท์เลย

ปี 2543 ปีนี้ลูกๆก็เลิกว่ายน้ำกัน แต่ฉันชวนวาลิดหัดตีกอล์ฟ แรกทีเดียวหัดไดรฟ์ที่สนามหัวหมากเซ็นเตอร์ ติดที่บ้าน หัดไปได้ไม่นาน ทางสนามปิดตัวลง เพราลูกกอล์ฟปลิวไปตกใส่หลังคาบ้านหมู่บ้านชัยสิทธิ์ติดๆ กันด้านทิศตะวันออกของสนาม ทางสนามต้องเสียค่าสินไหมมากๆ บ่อยๆ แล้วมาประสมกับ รั้วฝั่งตะวันออกพัง ด้วยแรงลมฝน ก็ย้ายไปตีที่สนามกรุงเทพกรีฑา 3 ถาด 100.-
ปีนี้เป็นปี ค.ศ. 2000 ที่ทุกๆคนวิตกกันว่า ระบบคอมพิวเตอร์จะแก้ไขระบบแสดงผลปีไม่ได้ เพราเลขปี มันเริ่มมาจากปีเก่าๆ ประมาณปี 1900 กว่ามาได้ แต่พอจะถึง 2000 ก็กลัวว่าคอมพิวเตอร์มันจะไม่รู้จักปี 2000 แล้วย้อนไปตั้งต้นปี 1900 แต่พอวันที่ 1 มกราคม 2543 (2000) ผ่านพ้นไปแล้วคอมพิวเตอร์มันแสดงผลว่า 2000 ได้ก็โล่งอกไปตามๆกัน
ปีนี้ตุ้มกับนะมาอาศัยอยู่บนดาดฟ้า เดือนเมษยนพากันไปเที่ยวเชียงใหม่ก่อนสงกรานต์จนเลยสงกรานต์ไป4-5วันแล้วค่อยกลับ สมัยนั้นทำงานในรามกันแบบสบายๆ ไม่ต้องอะไรมากนักฉันและตุ่ม ป้าอัมลุงวันชัยไปเที่ยวน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์

ปี 2544  เล่นหมากรุกกับพวกแดงนักดนตรี พวกนักดนตรีและพวกทำงานคณะตลกมาเช่าอยู่แถวบ้านเราหลายคน บางวันก็ยกกีต้าร์ลงมาเล่นกันข้างล่างทางขึ้นบันไดเลย
พอถึงเมษายนก็จะไปเที่ยวเชียงใหม่กันกลุ่มเดิม คือ ตุ้ม นะ ฉันออกค่าน้ำมันเอง รถฉัน แต่เรื่องกินทำเผื่อฉันด้วย
ขึ้นดอยแม่ตะมาน บริเวณเดียวกับดอยเชียงดาว ชื่อหมู่บ้านป่าโหล ชาวเขาเผ่าลาหู่นิ (มูเซอแดง) ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว เชียงใหม่ อยู่ไม่ไกลจากหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานนัก 19°19'28.5"N 98°55'29.3"E///19.324582, 98.924807
ภาษาลาหู่นิ (เขาบอกว่าเขาไม่ใช่มูเซอ พวกไทใหญ่มันชอบเรียกว่ามูเซอ) ลาหู่นิ คือลาหู่แดง ลาหู่นะ คือลาหู่ดำ ผู้ชายจะมีชื่อ “จะ..” นำหน้า จะอือ, จะเต๊าะ, จะสือ ถ้าผู้หญิงจะมีคำ “นะ..” นะโอ, นะชา, นะทอ คำเรียกพ่อ แม่ พี่ผู้ชาย ผู้หญิง น้องผู้ชาย ผู้หญิง แยกกัน แต่ไม่มีคำว่า “ลุง ปู่ ตา น้า อา” ชาวลาหู่นิ รักสวยรักงาม สะอาดอาบน้ำทุกเช้าเย็น กินข้าวเจ้าเป็นหลัก ข้าวสารส่วนใหญ่เป็นข้าวเปลือกกะเหรี่ยง เม็ดสั้นป้อมเหนียว หอม เวลาจะกินค่อยเอามาใส่ครกกระเดื่องเหยียบตำทีละสอง สาม วัน จะไม่ตำทิ้งไว้เยอะ เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ไว้กิน น้ำดื่มใช้น้ำตกธรรมชาติ ผู้ก่อตั้งหมู่บ้านคำนึงแหล่งน้ำ และที่ดินทำกิน

ช่องเย็น อุทยานแห่งชาติแม่วงก์
ประเพณีล้างมือเจ้าบ้านของเผ่าลาหู่นิ (มูเซอแดง)
พิธีล้างมือผู้อาวุโส ไม่มีพิธีกรรมทางศาสนา ก่อนจะมีการะเล่น
พิธีล้างมืออีกวัน ที่เขาแสดงความนับถือเชิญฉันเข้าร่วมด้วย
ตำข้าวปุ๊ก คือข้าวเหนียวนึงสุก นำมาตำเป็นแป้งเหนียวๆนุ่มๆ
โรยงา เกลือ กินในพิธี “กินวอ” คือปีใหม่ 15ค่ำเดือนยี่ (ราวๆมกราคม)
 วันว่างหลังพิธีกินวอ ออกมาเดินชมวิวกับน้องนะชา จบปริญญาโท
เชียงใหม่ ณ วันนี้เธอเสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็ง
หมอกเดือนพฤษภาคม 2543 ป่าสนสองใบ บนเขาสูง 1250 เมตร  
ฉัน นะชา นะโอ นะแล
นะโอ หลาน นะชา

ปี 2545 ตุ้มซื้อรถแลนด์โรเวอร์มาคันหนึ่ง ซ่อมมาจากเชียงใหม่ไม่สำเร็จ ก็มาหาช่างทำต่อ แต่ก็ไม่ได้ดีสักที่ มาเจออ๋อยคุยกันแล้วลองทำดูก็แก้ปัญหาได้ ก็คบกันสนิทสนม ไปไหนไปด้วยกัน
ช่วงสงกรานต์ ฉัน ตุ้มและนะจะตระเวนขึ้นเหนือกัน แวะไปตามอุทยานแห่งชาติต่างๆ
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์  ช่องเย็น,  อุทยานแห่งชาติออบหลวง,  ผ่านอำเภอแม่แจ่มไปป่าสนวัดจันทร์อำเภอกัลยาณิวัฒนา, อำเภอปาย(เกสต์เฮ้าส์เพื่อน PS River side 19°21'17.9"N 98°26'36.2"E///19.354961, 98.443380  หลังโรงเรียนปายวิทยาคาร Pai Wittayakhan School 19°21'21.0"N 98°26'32.6"E///19.355831, 98.442387) แล้ววกกลับไปดอยเชียงดาว ไปหมู่บ้านป่าโหล

ปี 2546 ลุงวันชัยสร้างอาคารห้องพักให้เช่าที่ชลบุรี จ้างฉันไปคุมงาน ผู้รับเหมาก็คุยฟุ้งว่าเก่งแล้ว และลุงวันชัยต้องเกรงใจ เพราะไปเอามาจากเพื่อน ดูๆ แล้วหัวดื้อรั้นแน่ๆ ก็ไม่อยากดูอะไรมาก ไปก็จอดรถอยู่ใกล้ๆ แอบๆดูเอาว่าทำงานอย่างไร ก็นั่นแหละนะ เหมามาถูกๆ จะให้ทำด้วยฝีมือสุดๆ ก็เจ๊ง จนหลายเดือนเข้า ลุงวันชัยคงรู้มาจากใครละมั้งว่าไม่ได้เดินตรวจงาน แกก็เลยอึกๆอักๆ ว่าจะให้คนแถวนั้นคุมงานต่อ ฉันก็นึกในใจว่าก็ดีแล้ว ที่ให้ฉันเลิก
ราวๆ เดือนพฤศจิกายน ตุ่มเอาแบคโฮไปขุดดินทำโคกสวน ทำบ่อน้ำ ที่ที่ดินหนองจอก ฉันเลิกจากงานลุงวันชัยมาแวะดูบ่อยๆ
วาลิดเข้าเรียนที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (หนองจอก)
ก่อนสงกรานต์ฉัน ตุ้ม และนะ ตระเวนออกเที่ยวกันอีก ไป สวรรค์โลก สุโขทัย นอนบ้านนัท น้องลุงณรงค์ บางทีไปนอนกางเต้นท์ที่สวนหลวงพระร่วงเฉลิมพระเกียรติ (ทุ่งแม่ระวิง), แวะร้านพี่สุนทร ศรีสัชนาลัย, แวะอุทยานแห่งชาติเวียงโกสัย, ตัวเมืองเชียงใหม่, ป่าโหล, แม่สาย เชียงราย (แวะเยี่ยมน้อง)

ปี 2547 ตักดินทำที่สวนเสร็จก็ หาคนเหมาปลูกบ้าน แต่เรียกแพงก็เลยคิดทำกันเอง ตอนตักดินเสร็จใหม่ๆ ต้องนอนเฝ้ากองไม้ มีเต้นท์ผ้าไบกางนอน ฝนตกลมแรงเปียกปอนไปหมด หนาวสั่นต้องวิ่งรถกลับบ้าน ไปตั้งหลักใหม่ เอาผ้าพลาสติกไปเพิ่ม แล้วยุงก็เยอะมาก มาก มาก มันเกาะนอกมุ้งดูเต็มไปหมด หุงหาข้าวกินก็ใช้ฟืน ตุ่มไปตามไอ้เวาะห์ชินมาช่วย สภาพในขณะนั้น ไม่ไหวแล้ว ติดยางอมแงม แต่ก็ทำไปเรื่อยๆ จนแกไม่ไหวกลับไปอยู่บ้าน ก็เข้าโรงพยาบาล เพราะถ่ายอุจจาระไม่ออกแล้วเอาสายยางสวนทวารเอง ทำให้เกิดอักเสบอย่างรุนแรง ลุกลามเป็นอื่นไปในที่สุดก็เสีย
ก้ไปได้คนงานที่ทำบ้านป๋า คลอง 18 ชื่อไอ้ณรงค์ กับตาหวัด ทำบ้านไปเรื่อยๆ จนเสร็จ ก็ออกไปตระเวนแถวหนองจอก ตามคลองต่างๆ ใกล้แถวนั้น ไปหาซื้อหน่อกล้วบน้ำว้า ได้มาทั้งมะลิอ่อง ทั้งธรรมดาทั้งกล้วยเขียว ทั้งพม่าแหกทัพ(คือลูกใหญ่ หลายหวี เนื้อหวานไม่ฝาด ปลูกกล้วยเต็มพื้นที่หมดเลย หาซื้อต้นไม้อื่นมาปลูก กีโน้ตบอกเดี๋ยวก็ตายหมด ฉันและตุ่มก็สงสัยว่า ทำไมมันจะตาย เราก็ดูแลรดน้ำมันบ้างสิ พอเอา
เข้าจริงๆ ปลูกต้นไม้ยืนต้นที่หาซื้อมาตายไปมากเลยทีเดียว ความสงสัยนั้นก็บรรลุแจ้งแล้วว่าดินพลิกขึ้นมาใหม่มันเค็มจาก เกลือฟอสเฟตใต้ดินทุกที่บริเวณที่ลุ่มปากน้ำเจ้าพระยานี้

นี่แหละ คำพังเพยที่คนโบราณพูดไว้ว่า “ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน” หมายความว่า วันที่เรายังไม่รู้อะไร ผู้ใหญ่ท่านเตือนอะไรก็ให้เชื่อฟัง
เพราะท่านเคยมีประสบการณ์มาก่อน ท่านรู้บางสิ่งมาก่อน จึงเตือน แต่เราสิยังไม่เคยรู้เลยในเรื่องนั้นๆ เลย แล้วเราจะไปดื้อกับท่านทำไม อีก
ตัวอย่าง เช่น
- วันที่เราเป็นเด็กนั้น เราไม่รู้หรอกว่าผู้ใหญ่เขารู้ว่าตะวันขึ้นทางไหน ตกทางไหน
- วันที่เราเป็นเด็กนั้น เราไม่รู้เลยว่า ความเป็นพ่อแม่นั้น รักและเป็นห่วงเราเสมอแม้แต่เราโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
- วันที่เราเป็นเด็ก เราไม่รู้หรอกว่า ความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว มันยากลำบากสักแค่ไหน
สิ้น ๆ ปี  ราวเดือนพฤศจิกายน (เพราะเป็นช่วงปลายเดือนเราะมะฎอน) ลุงแดงสิ้นชีวิต และเผาที่วัดบ้านป่าใกล้ๆ บ้าน

ปี 2548 ปีนี้น้องชายคนเล็กสุดก็มาตายไปอีกคน ตุ่มและแม่ลุงใหญ่ และน้องนันทวัตร พ่อให้ทองไปขาย 3 บาท เอาไปจัดการเรื่องศพ ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไป
ซัลมาเข้าเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า (ลาดกระบัง )

ปี 2549 ต้นปีทางเทคโนลาดกระบังขายควายมาให้มีลูกติดท้องมาด้วย ให้ไป 20,000.-บาท เกิดมาไม่เคยเลี้ยงควายเลย ใหม่ๆก็กลัวนิดๆ แต่ก็กล้าเข้าใกล้เพราะคิดว่าเขาเลี้ยงมานานแล้วคงเชื่องกับคนแล้ว ทำคอกไม่เป็นไม่แน่นหนา มันพังคอก ออกไปเดินสนามบอลล์โน้น ไปตามกลับมาแต่โดยดี
16 กันยายน ปู่สิ้นชีวิต ก็โทรบอกลูกๆ แล้วผูกควายไว้ใกล้บ่อน้ำ ไปเยี่ยมศพปู่กัน เย็นๆก็กลับ กทม. เช้าก็ไปกันใหม่ จนวันที่ 19 กันยายนก็เผาที่วัดแก่งคอย พอดีกับทางกรุงเทพมีการปฏิวัติ โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน (ชีอะห์)
 


ปี 2550 แอบทำนาที่ดินเพื่อนตุ่ม หน้าสนามบอลล์วรวี ได้ข้าวไม่มากเท่าไร หญ้าสดมันยังไม่เน่าเปื่อยทำให้ต้นข้าวแทงรากไม่ค่อยดี เนื้อที่ 10 กว่าไร่

วาลิดจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร วท.บ. รับปริญญาปลายปี
  


ปี 2551 ทำนาเพิ่มที่สุเหร่าใหม่เนื้อที่ 29 ไร่ ที่ดินที่ตักหน้าดินขายนี่มันทำนายากลำบากมาก มาก มากเลย ได้ผลผลิตไม่ค่อยดี แต่ทำให้รู้ว่า ชีวิตชาวนาของรุ่นเยาะห์ มะ นั้นคงจะลำบากกว่านี่เยอะ เพราะไม่มีเครื่องทุ่นแรงเลย แรงกายกับควายล้วนๆ

ปี 2552 บุกรุกที่ดินเจ๊สีทำ ที่ดินติดทิศตะวันออกของเรา บุกเบิกออกไปประมาณ 5 ไร่
อยากรู้เรื่องการเผาถ่าน ก็ทดลองทำดู ได้ต้นแบบจากวิดิโอซัลมาถ่ายเมื่อตอนไปดูงานที่ระยอง เอามาดัดแปลงทำเตาเผาทำฝาปิดเตา การพอกดินทรายให้เตาเผาเพื่อความร้อนจะสูงมากขึ้นในการเผาและอบ
 


 


ปริมาณไม้ดิบที่ยัดใส่เข้าไปเต็มถังแต่พอเผาแล้วหดเหลือ แค่นี้เท่าที่เห็น คือเหลือ ½ ของไม้ดิบ  142
เผาถ่านด้วยถังอบนี้จะเป็นถ่านดีมาก แม้แต่ขนาดเปลือกไม้ก็ยังเป็นถ่านได้ด้วย

 

 

ระบบนิเวศยังพอได้ มีกบเขียดปู หอยในท้องนาให้นกลงมากินได้
ถึงเวลาให้ปุ๋ยก็หาซื้อปุ๋ย 16-20-0 เลขตัวหลังไม่มีเพราะพื้นดินที่ราบลุ่มภาคกลางตอนใต้นี้มีสภาพเกลือโปแตสเซี่ยมมากอยู่แล้ว

 

เขาเรียกกันว่า “ลูกทุบ” กดทับหญ้าและฟางให้จมดินเลนจมน้ำ เพื่อมันจะได้เปื่อยเน่าง่ายขึ้น
ทำนาไป ปลูกพืชข้างนาไป ออกลูกเจ้าของเก็บไม่ทันขโมย


ซัลมาจบจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า (ลาดกระบัง ) วท.บ. รับปริญญาปลายปี 2552
 

ปี 2553  บุกเบิกที่ดินดอนสวนเงาะห์ ทำนาสวบสูบน้ำง่าย ได้ผลผลิตไม่ค่อยดี
7 มิถุนายน บ่ายไปหาหมอด้วยอาการ ไอ เจ็บคอมาก มีไข้ ครั้งแรกในรอบหลายๆปี ที่ไปหาหมอ ตรวจพบว่าเป็นหอบหืด
21 มิถุนายน ตรวจพบ ความดัน170/100 ไขมันไตรกลีเซอไลด์ระดับสูง 330 และไขมันคลอเรสเตอรอล ไม่มากเท่าไร แต่ก็ต้องกินยาบำบัด ทุกโรค

ปี 2554 น้ำท่วมใหญ่ ตั้งแต่นครสวรรค์เรื่อยลงมาชัยนาท อ่างทอง อยุธยา ที่อยุธยานี่ท่วมตามเมืองอุตสาหกรรมต่างๆ หลายแห่ง เสียหลายพันล้าน บริษัทรถฮอนด้ารถจมน้ำไปเป็นร้อย ๆ คัน ทางกรุงเทพก็กลัวจะท่วมกันแทบแย่ แต่ทางด้าน ดอนเมือง ลำลูกกา รังสิต คลองสามวา ท่วมกันหนัก หนองจอก มีนบุรี โดนหางๆ แต่ต้นไม้ฉันก็ตายไปหลายต้น
เดือนธันวาคมซัลมาชวนฟะห์ ซามี่อัยนูนไปเที่ยวเชียงใหม่กัน โดยไปรถกะบะมาสด้าเรา ออกเดินทาง 22.00น. ถึงดอยอินทนนท์ 9.00 น. ใช้เส้นทาง กทม-นครสวรรค์-ตาก-เถิน-บ้านโฮ่งลำพูน-ดอยอินทนนท์ ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปี 54 นี้เลิกทำนาโดยสิ้นเชิง
6 กันยายน 2554 (2011) พบหมอธำรง ทัศนาญชลี (จิตแพทย์) ก่อนหน้านี้เคยทำแบบทดสอบของหมอ ธรรมิกา (tammikaclinic@hotmail.co.th) (จิตแพทย์ จุฬลงกรมหาวิทยาลัย) ผลออกมาว่าเข้าข่ายป่วยทางจิต หมอธรรมิกาแนะนำให้ไปพบแพทย์จิตเวช ค่ารักษาไม่แพงอย่างที่คิด หมอธำรงตรวจแบบ ถามโน่นถามนี่ คุยโน่นคุยนี่ไปเรื่อยๆ

ปี 2555 ซัลมาได้ทำงานที่มหาลัยรามคำแหง ประมาณเดือนเมษายน
ตรวจเจอ “ตาเป็นต้อลม” มีลักษณะคันมากรอบขอบตา เกาขยี้อย่างไรก็ไม่หายคัน
ปลายปีหลังเดือนฮัจญ์ ผ่านเดือนมุหัรรอมไปแล้ว รีบไปแจ้งความจำนงกับอาจารย์ชาฟิอีว่าจะไปทำฮัจญ์กันสองคน และนำเงินไปจ่ายจนครบในปีนี้ จองที่นั่งจะไปทำฮัจญ์แล้ว ยังเป็นโรคฉี่กระปิดกระปอย นั่งลงก็ปริบออกมา จากนั่งอยู่ลุกขึ้นยืนก็ปริบ  และมีอาการริดสีดวงทวารอักเสบเลือดออกบ่อย ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ นั่งฉี่บนชักโครกก็ไหลหยด เป๊ะ ๆ ๆ เป็นน้ำประปาหยดเลยละ กลัวว่าไปทำฮัจญ์แล้วจะไม่ดี ไม่เซาะห์ (เซาะห์มาจากภาษาอาหรับว่า เซาะฮีฮะห์ แปลว่า ถูกต้อง)  ใจ ก็ได้แต่ขอดุอาอ์เอาว่าขอให้ทุเลาจากอาการป่วยทั้งหลายนี้ด้วยเถิด ผล ออกมาว่า โรคฉี่กระปิดกระปอยหายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่ริดสีดวงก็ดีขึ้นมาบ้างไม่มีเลือดนัก เบาหวานก็ไม่สูง ความดัน ไขมันไม่สูง

ปี 2556 วันที่ 31 สิงหาคม ไปหาหมอตรวจเจอน้ำตาลในเลือด 145 เริ่มกินยาเบาหวาน หลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ด
หมดเดือนซุลเกาะอะดะห์ปีนี้แล้ว ยังไม่ได้บินไปทำฮัจญ์เลย ก็แสดงว่าปี 56 นี้อดแน่ๆ อาจารย์ประกาศว่าใครจะถอนเงินคืนก็ได้นะ แต่เราไม่ได้ถอน
31 ต.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริเวณสถานีรถไฟสามเสนว่า ประชาชนเริ่มทยอยมาร่วมการชุมนุมต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่ครอบคลุมไปถึงคดีทุกจริตคอร์รัปชั่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินรัชดาฯมากขึ้นเรื่อยๆ จนขณะนี้พื้นที่การชุมนุมแน่นขนัด จนล้นข้ามทางรถไฟไปแล้ว

 



ปี 2557  วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พลเอกประยุทธ์รัฐประหารต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและควบคุมประเทศในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาตินับแต่นั้นมา
หลังเดือนเราะมะฎอนปีนี้ผ่านพ้นไป นึกว่าจะมีข่าวเรื่องการจะไปทำฮัจญ์ แต่ก็ยังเงียบอยู่ จนมาถึงปลายเดือนเชาวาลก็มีข่าวแจ้งผ่าน “ดา หลานตุ่ม” ว่าจะเดินทางวันที่ 24 กันยายน จะได้บินไปทำฮัจญ์ ฉันก็จัดการไปเลื่อยนนัดหมอ ขอตรวจก่อน และขอยาเพิ่ม แต่ยาหมอให้แบบ 2 เดือนติดต่อกันไม่ได้ หมอญาดา (ก็ช่างน่ารัก) บอกว่าให้ 2 เดือนไม่ได้ แต่แอบสั่งยาเดือนแรกเยอะหน่อย แล้วให้มารับยาอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
แต่พอเอาเข้าจริงๆ ทางแผนกเภสัชกรรมไม่ยอมให้อ้างว่าในคอมพิวเตอร์ระบุว่าเพิ่งมารับไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว วันเวลาก็ใกล้เข้ามาทุกวัน ได้ข่าวแจ้งมาอีกว่า จะเลื่อนกำหนดการเดินทาง ขึ้นมาหนึ่งวัน เป็นวันอัวคารที่ 23 กันยายน ในที่สุดก็มาถึงวันที่ 23 กันยายน นัดเช็คอินกันตั้งแต่ตี 5.30 น. (ติดตามอ่านเรื่องการไปทำฮัจญ์ของฉันที่ https://www.gotoknow.org/posts/580472
เป็นโรคไอตั้งแต่ มักกะห์มาถึงมะดินะห์จนถึงบ้านอีกเดือนหนึ่งจึงพอทุเลาจากไอ ความดันโลหิต เบาหวาน ไขมัน อาการปกติดี น้ำหนักลงนิดหน่อย กลับมาก็ยังหาค้นหนังสืออ่าน เขียนบทความเหมือนเดิม
 ปี 2558 ตั้งแต่ปีใหม่มารู้สึกว่าน้ำตาลในเลือดจะสูงมาก พฤศจิกายน - ธันวาคม 57 น้ำตาล 140-180 แต่พอมา มกราคม - กุภาพันธ์ 58 น้ำตาลพุ่งถึง 297 และ 265 ไยอมลดลงมาเลย กินยาก็ตามกำหนดเวลาและขนาด ต้นเดือนกุมภาพันธ์หมอเพิ่มขนาดยาให้อีกมื้อหนึ่ง ก็ยังไม่ลดลงมา
หมอธำรง (จิตแพทย์ กระเซ้าว่า ระวังหมอณัฐพงษ์สั่งฉีดอินสุลินนะ) ก็เลยบอกว่า พยายามลดน้ำตาลอยู่แหละครับ แต่ยังไม่เห็นผล



ท่านเราะซูลฯสอนไว้ว่า “การศึกษาหาความรู้ เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคน ผู้ที่มีครามรู้ย่อมประกอบ  อาม้าลอิบาดะห์ได้สมบูรณ์มากกว่าผู้ด้อยการศึกษา ฉะนั้นจงหมั่นศึกษาหาความรู้ ไม่ว่าความรู้นั้นจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม(ศาสนา)”

ดังนั้นฉันจึงได้พยายามศึกษาหาความรู้มาตลอดเวลา เมื่อค้นหาทางธรรมจะมาติดขัดอยู่ที่เหตุการณ์ในดุนยา เช่น
อิสลามห้ามการค้าเงิน(สตางค์) Curency Trade تجارة العملات  แต่เราก็ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวการแลกเงินสดของต่างประเทศ ฉะนั้นเจตนาแท้ของการห้ามค้าสตางค์ก็มให้ค้าอย่างเอาเปรียบเชิงขูดรีดค้ากำไรเกินควรhttps://www.instaforex.com/th/,  ลงทุนตลาดค่าเงิน FOREX เป็น การพนัน หรือ เป็น การลงทุนเก็งกำไรที่มีกำไรเป็นไปได้จริง
อิสลามห้ามการซิ้อขายล่วงหน้า ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอื่นทั่วไป Advance Trade التجارة مسبقا  แต่ความเป็นจริงในปัจจุบันก็มักนิยมทำการซื้อขายล่วงหน้า เราจะหลีกหนีการกระทำนี้ได้อย่างไร เราจึงศึกษานิยามความเป็นจริงของมัน เช่นชาวนาชาวสวนนิยมการขายล่วงหน้า (หรือที่เขาเรียกกันว่า “ตกเขียว” คือเสนอขายผลผลิตในแปลงนา สวนขณะยังอ่อนๆอยู่ โดยกำหนดราคาในตอนแก่ แล้วเรียกเก็บเงินกันตั้งแต่ตกลงซื้อขายนั้น ตลาดซื้อ-ขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า AFET,  ซื้อขายอนุพันธ์ ที่อ้างอิงกับตราสารทุน ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ “อนุพันธ์,  กลต.หน้า ที่ว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
อิสลามห้ามเรื่องดอกเบี้ย  interest رِبَوَاْ  แต่เราทุกวันนี้คลุกคลีกับดอกเบี้ยจนแยกไม่ออกแล้ว สินค้าเกือบทุกประเภทถูกนำไปผ่านกระบวนการดอกเบี้ยมาแล้ว คือสินค้าถูกผลิตออกมาราคาต้นทุนทางโรงผู้ผลิตจะคิดดอกเบี้ยเงินทุนกู้ยืมหรือการซื้อวัสดุสินเชื่อที่ต้องผ่านกระบวนการดอกเบี้ยมาแล้วหนึ่งครั้ง ดอกเบี้ยเงินกู้เงินค่าจ้างพนักงาน ดอกเบี้ยสินค้าที่ผลิตแล้วต้องค้างอยู่ในคลังรอคอยกระบวนการขน
ส่งอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายขายจะคิดดอกเบี้ยล่วงหน้าของสินค้าไว้ในช่วงเวลาที่ยังขายไม่ได้ และคิดดอกเบี้ยราคาขายผ่อนไว้ที่ราคาหนึ่ง และราคาขายสดอีกราคาหนึ่งซึ่งถูกบวกดอกเบี้ยไปแล้ว คิดจากราคารวมภาษีสรรพากร ภาษเงินได้ ภาษีการค้า แม้แต่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าปลอดดอกเบี้ย เพราะมันต้องเข้าไปสู่ระบบธนาคาร รับเงินฝากจากคุณแล้วนำไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับผลตอบแทนมาในรูป เงินปันผล ตัวอย่างระบบที่ไม่เรียกดอกเบี้ยของธนาคารอิสลาม คือ การฝากเงินในนาม “บัญชีเงินฝากอัลฮัจญ์” บังคับฝากเดือนละ 2500 บาท เป็นเวลา 5 ปี แล้วจะมีสิทธิ์รับเงินไปทำฮัจญ์ และทุกๆสิ้นเดือนจะได้รับผลตอบแทนให้อีก เงินฝาก 60 เดือนๆ ละ 2500.-เท่ากับ 150,000.- ข้อคิดคือ เงินที่เป็นผลตอบแทนทุกเดือนนั้นมาจากไหน จะไม่เรียกว่าดอกเบี้ย แต่มันก็คือที่เพิ่มพูนมาโดยไม่ได้ทำการค้าเพื่อหากำไร การค้าคือการขายของให้แก่ผู้ซื้อ ในราคาที่ผู้ขายกำหนดและผู้ซื้อพึงพอใจ ถึงแม้ว่าสินค้านั้นๆผู้ขายจะตั้งราคาสูงกว่าที่ตนซื้อหามาได้ก็ตาม เช่นพ่อค้าไปซื้อตู้ไม้สักโบราณมาหนึ่งใบราคา 3000.- แต่นำมาตั้งโชว์ไว้ในร้านไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหนจึงจะขายได้ ก็จะบวกค่าเสียเวลาในค่าเงินที่ตนลงทุนไป 200 - 300% ก็ย่อมได้ไม่ผิดเจตนาเข้าข่ายเป็นดอกเบี้ย

ฉะนั้นการศึกษาหาความรู้ตามเจตนาของอิสลามคือการศึกษาหาความรู้ทั่วไป ไม่เจาะจงว่าเฉพาะเรื่องศาสนาเท่านั้น เพราะอิสลามไม่ใช่ศาสนาที่งมงาย อิสลามสอนให้มนุษย์มีความรู้ เช่นการแบ่งมรดกที่เป็นคณิตศาสตร์ชั้นสูงอีกขั้นหนึ่ง ถ้าไม่มีความรู้เรื่องคณิตศาสตร์ก็จะแบ่งไม่ถูก หรือการสอนให้มนุษย์รักษาความสะอาดปากและฟันด้วยการให้ทำสะอาดปากและฟันเสมอๆ ไม่ให้มีเศษอาหารตกค้างในช่องปากทุกครั้งที่อาบน้ำละหมาด สอนให้ทำสะอาดร่างกายบางส่วนก่อนละหมาดถึงวันละ 5 ครั้งต่อวัน สอนให้มุสลิมทุกคนเสมอภาคกัน กษัตริย์ผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมายมหาศาล ตายไปก็ห่มศพได้แค่ผ้าฝ้ายขาวธรรมดา 2 ผืน (ห้ามใช้ผ้าไหมผ้าลินินอย่างดีหรูหรา) ยาจกข้นแค้นหากินไม่พอเลี้ยงครอบครัวในทุกวัน อดมื้อกินมื้อ ตายไป ก็ห่มศพได้แค่ผ้าขาวธรรมดา 2 ผืนเช่นกัน ได้รับการละหมาดและขอพรให้เท่าๆ กัน

การศึกษาหาความรู้ต้องกระตุ้นเตือนตนเองให้อยากรู้อยากเข้าใจในสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา ถ้าเหล่าเซาะฮาบะห์และตาบิอีน และอนุชนรุ่นต่อๆ มาไม่ปฏิบัติตามคำสอนอิสลามที่ให้ศึกษาหาความรู้ทั้งโลกุตตระและโลกียะ (ทางโลก-ทางธรรม) อิสลามก็คงกุดด้วนหายไปในทะเลทรายเป็นแน่

การศึกษาหาความรู้แม้เป็นด้านภาษาอื่นๆ ถ้าเราไม่มีความรู้ในเรื่องของภาษาอื่น (นอกจากภาษาอาหรับไว้อ่านกุรอานแล้ว) อย่างเช่นภาษาไทยของคนไทยนี่แหละ ถ้าเราไม่รู้จริงจัง เราจะอธิบายความหมายอิสลามให้คนต่างศาสนิกอื่นเขาเข้าใจอิสลามได้อย่างไร ฉะนั้นจึงต้องศึกษาทุกวิชา ไม่ใช่ศึกษาแต่เรื่องของศาสนาอย่างเดียว

ตัวอย่างเช่น اَلرَّحْمَنِ  อัรเราะห์มาน ความเมตตาปรานี, اَلرَّحِيْمِ อัรเราะฮีม ความกรุณาปรานี สองคำนี้เมื่อไรเราจะใช้คำอะไรในกรณีใด
เมตตา - ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์
กรุณา - ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อน
ลองดูอีกตัวอย่าง เช่นคำว่า “มะลาอิกะห์” บางคนแปลว่า “เทวดา หรือ Angel” เทวดาในศาสนาพุทธและคริสต์เขามีเพศ คือเป็นเทวดา Angel และนางฟ้า Angeles มีการสมสู่ มีการกินดื่ม (ข้าวทิพย์น้ำทิพย์) แต่ มะลาอิกะห์ในอิสลามไม่มีเพศ ไม่กิน ดื่ม ไม่สมสู่ ฉะนั้นจึงหาคำศัพท์ที่ตรงความหมายแท้จริงมาใช้แทนในคำว่า มะลาอิกะห์ไม่ได้ จึงต้องเรียกทับศัพท์ไปเลยว่า “มะลาอิกะห์  مَلَاِكَةُ ”

ดูอีกตัวอย่างเช่น คำว่า “เขา He هُوَ”  وَ هُوَعَلَى كُلِّ شَيء قَدِيرَ . . . . และ เขา อยู่เหนือสิ่งใดทั้งมวล
คำว่า ฮูวะ ใช้แทนชื่ออัลลอฮ์ได้ แต่เราเห็นว่าไม่สระสรวย จึงใช้คำว่า “พระองค์ อยู่เหนือสิ่งใดทั้งมวล”
การศึกษาภาษาต่างๆของเศาะฮาบะห์ เพื่อการเผยแผ่อิสลามได้กว้างขวางขึ้นไม่จำกัดวงเฉพาะอาหรับ
การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ต่างๆ เช่นเคมี แพทย์ ดาราศาสตร์ การปกครองการเมือง คณิตศาตร์ ฯลฯ
การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องการผสมเกสรให้กับพืชต่างๆ เพื่อพัฒนาสายพันธุ์
________________________________________

رَبَّنَا آتِنَا فِي الدُّنْيَا حَسَنَةً وَفِي الآخِرَةِ حَسَنَةً وَقِنَا عَذَابَ النَّارِ
อ่านว่า: ร็อบบ้านา อาตี้นา ฟิดดุนยา ฮ่าซ่านะฮฺ ว่าฟิลอาคี่ร่อตี้ ฮ่าซ่านะฮฺ ว่ากินา อ้าซาบันนารฺ
ความว่า: โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดนำมาให้แก่เรา ซึ่งสิ่งดีๆในโลกนี้ และนำมาให้แก่เราซึ่งสิ่งดีๆในโลกหน้า และโปรดปกป้องเราให้พ้นจากไฟนรกด้วยเถิด

اللهم اغفر لنا وارحمنا وعافنا ودهنا ورزقنا
คำอ่าน "อัลลอ ฮุมมัค ฟีรนา วัลฮัมนา วะ อาฟินา วะห์ดินา วัรซักนา"
ความหมาย โอ้พระเจ้าของพวกเราโปรดยกโทษให้เราและมีความเมตตากับเราและอย่าชิงชังเราและชี้นำเราและให้เราซึ่งปัจจัยยังชีพอย่างพอเพียงด้วยเถิด

ดุอาอ์ทั้งสองนี้ขอให้ฉันและครอบครัวและพี่น้องมุสิมีน มุสลิมาต มุมินีน และมุมินาตทั้งหลาย อามีน
________________________________________

เรียบเรียงโดยฮัจญีอิสมาอีล อานนท์ เพ็ญพันธ์ aswasal@gmail.com 
File sizes: 330 M;  pages:129 ; Words: 41355 ; Photos: 158 ; Total Editing Times: Created since: Jan 25 – Feb20 =27Days
لـــــــــــالــــــــــه الـــــــــــا الله محــــــــــــد رســـــــــــــــوالله

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก